Latest

ให้คุณสนใจแต่ “กาย” นี้ และ “ใจ” นี้เท่านั้น

     วันหนึ่งมีคนมาเยี่ยมที่บ้านบนเขาตอนมืดแล้ว ได้คุยกันสั้นๆ เนื้อหาน่าจะพอมีประโยชน์บ้าง จึงขอนำมาเล่าทิ้งไว้ในบล็อกนี้

     “คุณเห็นต้นไม้นั่นไหม”

     “เห็นค่ะ”

     “ทำไมคุณถึงเห็นมันได้ละ”

     “เพราะมีแสงสว่าง”

     “แล้วคุณเห็นอากาศตรงหน้าคุณนี่ไหม”

     “ไม่เห็นค่ะ”

     “ทำไมไม่เห็นละ ทั้งๆที่ตรงหน้าคุณก็มีแสงสว่าง”

     “เพราะอากาศไม่สะท้อนแสง”

     “แล้วคุณมองท้องฟ้าที่มืดสนิทโน่นซิ คุณว่ามันมีแสงวิ่งผ่านมันไหม”

     “อาจจะมี แต่ไม่มีอะไรสะท้อนแสง เราจึงมองเห็นเป็นแค่ความมืด”

     “ใช่..ไม่ใช่แสงนะที่ทำให้คุณเห็น แต่เป็นเพราะมีวัตถุที่ไม่ยอมให้แสงผ่าน ทำให้แสงสะท้อนจากวัตถุนั้นมาเข้าตาคุณทำให้คุณเห็นวัตถุได้

     สมมุติว่าความรู้ตัวของคุณซึ่งเป็นคุณที่แท้จริงนั้นเป็นความมืดอันไร้ขอบเขตเหมือนท้องฟ้านี้ ความสนใจของคุณเป็นแสง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาคุณไม่มีโอกาสได้รู้จักความมืดอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นคุณที่แท้จริงเลย เพราะมีอะไรสาระพัดหยุดแสงของความสนใจไม่ให้วิ่งผ่านไปได้ แสงจึงสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างสิ่งเหล่านั้น อันได้แก่ สามีคุณ ลูกคุณ ทรัพย์สมบัติของคุณ เกียรติยศชื่อเสียงของคุณ บริษัทของคุณ ประเทศของคุณ อดีตอันน่าภูมิใจของคุณ ความเชื่อและคอนเซ็พท์ต่างๆในหัวคุณ เป็นต้น ชีวิตซึ่งแท้จริงเป็นแค่ความมืดสนิทเปล่าๆโล่งๆไร้ขอบเขตจึงกลายเป็น “บุคคล” ที่มีเรื่องราวเป็นตุเป็นตะขึ้นมา 
    
     การแสวงหาทางจิตวิญญาณก็คือการตระหนักรู้ว่าคุณที่แท้จริงหรือความรู้ตัวของคุณนี้เป็นเหมือนความมืดที่ไร้ขอบเขต ไม่ใช่ความเป็นบุคคลที่เกิดจากการเอาสมมุติต่างๆในชีวิตมาดักรับแสงแห่งความสนใจของคุณ คือการตระหนักรู้ว่าคุณเป็นความมืดสนิทโล่งๆว่างๆนั้นตลอดมา แม้ตอนนี้คุณก็ยังเป็นความมืดนั้นอยู่ มันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงอันนิรันดรของคุณ คือมืดสนิทว่างๆโล่งๆไร้ขอบเขต วัตถุที่โผล่ขึ้นมาขวางทางแสงในความมืดนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นคุณที่แท้จริงซึ่งเปรียบได้กับความมืดสนิทอันกว้างใหญ่นั้น 

     ดังนั้น เพียงแค่คุณหันเหแสงแห่งความสนใจออกมาจากวัตถุที่โผล่ขึ้นมาขวางทางแสงเหล่านั้นเสีย คุณก็จะกลับไปเป็นคุณที่แท้จริง คุณก็จะได้สัมผัสความมืดอันไร้ขอบเขตนั้น ถึงจุดนี้คุณก็จะพ้นไปจากสำนึกว่าเป็นบุคคล ไม่มีกลัว ไม่มีโกรธ ไม่เสียดาย ไม่คาดหวังใดๆ และยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วได้อย่างสงบเย็น ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังจะมีศักยภาพที่จะทำอะไรที่สร้างสรรค์ได้อีกมากมายอย่างไม่มีขีดจำกัดอีกด้วย 

     ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี่คุณเก็ทไหม..”

     “ไม่เก็ทค่ะ แต่จะเก็บไปคิดดู”

     “การเก็บไปคิดไม่ทำให้คุณเก็ทขึ้นมาได้หรอก เพราะความคิดก็คือวัตถุที่คุณเอาขึ้นมาดักรับแสง มันจะเข้าใจความมืดที่เป็นช่องว่างที่โอบรับตัวมันและสิ่งอื่นๆทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไร เพราะเนื้อของความมืดไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ คุณจะต้องถอยความสนใจออกมาจากวัตถุที่เอาขึ้นมารับแสงเหล่านั้น หมายถึงถอยความสนใจออกจากความคิดเสียด้วย แล้วความสนใจของคุณจึงจะหดกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้ตัวอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เหมือนกับแสงที่วิ่งฝ่าความมืดและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดโดยไม่ได้ทำให้ความมืดนั้นเปลี่ยนแปลงเลย”

     “ยิ่งไม่เก็ทใหญ่เลยค่ะ อาจารย์พูดอะไรที่มัน practical กว่านี้สักหน่อยได้ไหมคะ  เอาแบบไม่ต้องยิ่งใหญ่ก็ได้ แต่เอาแบบที่มันเวอร์ค”

     “ถ้าจะให้มันเวอร์ค คุณก็ต้องโฟกัส หรือตีวงให้มันแคบลง หมายความว่าการจะหลุดพ้นไปจากกรงความคิดของคุณเองคุณต้องเลิกสนใจสิ่งเร้าใดๆที่มาจากภายนอกเสียทั้งหมด ให้คุณสนใจแต่ “กาย” นี้และ “ใจ” นี้เท่านั้น ทุกเวลานาทีคุณสนใจแต่กายและใจนี้อย่างจริงจัง ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นเลย

     คุณสนใจกายนี้ในแง่ที่ว่ามันมีสองชั้นนะ ชั้นหยาบคือ physical body หรือ “รูป (form)” ซึ่งเป็นอะไรที่มีขอบเขตชัดเจนที่หุ้มด้วยผิวหนังของคุณนี้ คุณเริ่มด้วยการถอยความสนใจจากสิ่งเร้าข้างนอกมาตั้งต้นที่ physical body ก่อน ขั้นต่อไปให้คุณทิ้งความสนใจจากกายที่มีขอบเขตจำกัดนี้ไปสนใจกายชั้นที่ลึกเข้าไปซึ่งเป็นชั้นที่เริ่มไม่มีขอบเขตชัดเจน

     กายชั้นที่ลึกเข้าไปที่ว่านั้นก็คือ internal body หรือชั้นพลังงานของร่างกาย ที่เรียกกันว่า “ปราณา (Prana)” หรือ “ชี่ (Chi)” นั่นแหละ แต่ความที่มันเป็นพลังงานซึ่งจับต้องมองเห็นไม่ได้ จึงไม่มีทางที่จะไปตั้งต้นที่ตัวมันตรงๆได้ ต้องตั้งต้นที่ความรู้สึกบนร่างกายซึ่งเกิดขึ้นจากการมีอยู่และการเคลื่อนไหวของพลังงานนี้ เช่นความรู้สึกวูบวาบจี๊ดจ๊าดซู่ซ่าบนผิวหนัง ภาษาบาลีใช้คำเรียกว่า “เวทนา (feeling)” คุณอย่าหลงทางไปกับภาษานะ เพราะในศาสนาที่ใช้ภาษาบาลีก็ยังแตกความเห็นเป็นหลายนิกาย บางนิกายตีความคำว่าเวทนาว่าเป็นเวทนาทางกาย (body feeling) เท่านั้น บางนิกายก็ตีความว่ามันเป็นทั้งเวทนาทางกายและทางใจ (mental feeling) ให้คุณเหมาง่ายๆก่อนว่าสองอย่างนี้มันเป็นอย่างเดียวกันแยกกันไม่ออกก็แล้วกัน ที่แน่ๆคือมันไม่ใช่ความคิด เมื่อตั้งต้นที่เวทนานี้ได้แล้ว ให้คุณค่อยๆเปลี่ยนจากการสนใจมันอย่างผู้สังเกตไปเป็นรู้สึกหรือ feel มันแทน feel เอานะ ไม่ใช่พยายามเข้าใจด้วยความคิด feel เอาจนคุณรับรู้มันได้ว่ามันเป็นพลังงานอันไม่มีขอบเขตชัดเจน และมันเป็นอิสระจาก physical body มาถึงตอนนี้ก็เท่ากับว่าคุณได้มาจ่ออยู่ที่ปากทางจะไปสู่ความรู้ตัวหรือพลังงานชั้นละเอียดที่สุดซึ่งกว้างไกลไร้ขอบเขตแล้ว

     ขณะที่คุณตั้งใจสังเกตเวทนาไป คุณจะค่อยๆเห็นเองว่าเวทนานี้เป็นที่ตั้งหรือจุดกำเนิดของความคิด คุณก็ตามไปสังเกตความคิดได้ไม่ยาก สังเกตดูไปก็จะเห็นว่าความคิดเมื่อถูกสังเกต มันจะฝ่อหายไป เหมือนขโมยกำลังปีนรั้วจะเข้าบ้านพอเจ้าของบ้านฉายไฟดูก็จะหลบหนีไป เมื่อเฝ้าสังเกตไป ในที่สุดความคิดก็จะหมด ก็จะเหลือแต่ความมืด หรือความนิ่ง หรือความว่าง ซึ่งเป็นพลังงานชั้นในที่ละเอียดที่สุดที่ผมเรียกว่า “ความรู้ตัว (consciousness)”  คุณอยู่ตรงนี้บ่อยขึ้นๆ นานขึ้นๆ จนถึงจุดหนึ่ง ก็จะมีพลังงานจากส่วนลึกที่มีลักษณะเป็นปัญญาญาณ (intuition) ไหลเอ่อท้นขึ้นมา ปัญญาญาณนี้จะชี้ให้คุณเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นโดยไม่ผ่านภาษาหรือความคิดซึ่งมักผูกโยงกับสำนึกว่าเป็นบุคคล มันจะชี้ให้คุณถึงบางอ้อด้วยตัวคุณเองจนคุณยอมรับความจริงที่ว่าความเป็นบุคคลของคุณนี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงความคิด ซึ่งเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และในที่สุดคุณก็จะวางความเป็นบุคคลนี้ลงได้ วางลงได้หมายความว่าพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปตามการยอมรับความจริงนี้ นั่นแหละคือความหลุดพ้นจากกรงของความคิดอย่างแท้จริง แต่ถ้าพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณยังไม่เปลี่ยน ก็แสดงว่าคุณแค่เข้าใจมันในระดับความคิดแต่ยังวางมันลงไม่ได้ แปลว่าคุณยังไม่หลุดพ้นไปไหน..”

  นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์