Latest

มาถึงจุดนี้แล้ว คุณยังยืนยันที่จะเดินหน้าอยู่หรือเปล่า?

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ
ผมอายุ 63 ปี มีปัญหาเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง จิตแพทย์ได้ให้ยา citalopram ควบกับยา imipramine (Tofranil) มาสิบปีแล้ว ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน ระหว่างการเป็นโรคซึมเศร้ากับการปฏิบัติธรรม ผมไปทางปฏิบ้ติธรรมมากขึ้นๆจนบางเดือนผมอยู่บ้านกับลูกเมียไม่ถึงครึ่งเดือน โดยไปปฏิบัติที่ …. บางครั้งก็ไปที่ ….. และบางครั้งก็ไปที่ …. ซึ่งที่หลังสุดนี้หลวงพ่อ … บอกผมว่าคนเป็นโรคจิตไม่ควรมาปฏิบัติธรรม ควรไปหาหมอกินยาให้หายก่อน ทั้งลูกเมียได้เตือนผมและผมก็เห็นด้วยว่าผมมีอาการหมดไฟหรือหมดแรงที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะกับครอบครัวและสังคม ผมฝืนใจไปเที่ยวเมืองนอกกับภรรยาได้สองปีก็ต้องตัดใจบอกเธอว่าผมขอไม่ไปดีกว่า กิจการค้าที่เคยเห็นโอกาสได้เงินแล้วไม่เคยปล่อยให้ผ่านไป ตอนนี้กลับยอมนิ่งๆทำให้เสียเงินก็มี ไม่อยากพบอยากเจอหน้าคนเพราะรำคาญว่าคนอื่นเขากิเลสหนา ภรรยาบอกว่าผมต้องพบจิตแพทย์ ไม่ใช่ไปวัด เธอถามว่าการจะหลุดพ้นมันคืออะไร ซึ่งผมก็ตอบเธอไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่ว่าอยากจะหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด เบื่อชีวิต ไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว แต่ว่า นอกจากอาการหมดไฟแล้วผมไม่เคยมีอาการประสาทหลอนไม่ว่าจะได้เห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆก็ไม่มี จิตแพทย์ก็พยายามถาม จิตแพทย์เคยให้เราทั้งครอบครัวไปพบหมอพร้อมหน้ากัน ทุกคนก็มีความเห็นว่าอาการป่วยของผมรุนแรงขึ้น บางครั้งผมก็อดเสียใจที่ทำให้ลูกเมียเป็นทุกข์แต่มันก็เกิดขึ้นเองโดยผมไม่ได้ตั้งใจ
คุณหมอมีคำแนะนำไหมครับ คนที่มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมแล้วมาถึงจุดที่คนรอบตัวบอกว่ากำลังเป็นโรคจิต ผมควรจะทำอย่างไรดี จะต้องเลิกปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ถ้าผมจะมาคอร์ส spiritual คุณหมอจะรังเกียจไหม

…………………………………………..

ตอบครับ

     1. ถามว่าเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ควรเลิกปฏิบัติธรรมไหม ตอบว่าไม่เกี่ยวกันครับ ซึมเศร้าก็ซึมเศร้าไป  สมัยนี้ใครๆก็ซึมเศร้ากันทั้งเมือง มากบ้างน้อยบ้าง ส่วนการปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกันเลย และคนเป็นโรคซึมเศร้าก็ปฏิบัติธรรมได้ ไม่เห็นจะเป็นไร ถ้าห้ามไม่ให้คนซึมเศร้าปฏิบัติธรรม แล้วจะเหลือใครปฏิบัติธรรมละครับ

     ตรงนี้ผมขยายความหน่อยนะ โรคซึมเศร้าก็คือความผิดปกติของอารมณ์หรือมู้ด (mood) ซึ่งเป็นความคิดชนิดสองหัว หัวหนึ่งเป็นเนื้อหาสาระของความคิด อีกหัวหนึ่งเป็นความรู้สึก (feeling) ในใจและบนร่างกาย หากเจ้าตัวผู้เป็นโรคนี้สังเกตให้ดี มันจะเริ่มขึ้นมาเป็นความรู้สึกทางกายก่อนแล้วก็ในใจ แบบว่าหดหู่ถดถอย หลังจากนั้นจึงเกิดความคิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาต่อยอด และถ้าสังเกตให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก ก่อนที่จะเกิดความรู้สึกขึ้นที่กายและใจนี้มันจะนำมาด้วยการมีสิ่งเร้า (stimuli) ผ่านอายนะหนึ่งในหกเข้ามากระตุ้นก่อน ความรู้สึกที่กายและใจจึงจะเกิดขึ้น แล้วความคิดลบๆใหม่ๆจึงจะเกิดขึ้นต่อยอดอีกต่อหนึ่ง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกคน คนที่เกิดมากจนตัวเองรับมือไม่ไหวก็กลายเป็นคนป่วยไปหาหมอกินยา ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง อย่างของคุณนี้กินมาสิบปีแล้วก็ยังไม่ได้ผล การแก้ปัญหาซึมเศร้าที่รากของมันจะต้องฝึกสติให้ทันสังเกตเห็นความรู้สึกและความคิด พูดง่ายว่าคนไข้แบบนี้แหละที่ต้องไปปฏิบัติธรรม

      2. ถามว่าปฏิบัติธรรมาสิบปีแล้วมีอาการไฟในชีวิตมอดลงไม่อยากได้ไม่อยากมีอะไรแต่ใจก็สงสารลูกเมีย ตอบว่าคุณกำลังมาใกล้จะถึงจุดที่ภาษาการบินเขาเรียกว่า point of no return คือเครื่องบินที่ออกบินไปแล้ว พอไปได้ไกลจนน้ำมันเหลือน้อยแล้ว มันไม่อาจบินกลับไปลงสนามบินเดิมได้อีกแล้ว มันมีแต่จะต้องบินไปลงข้างหน้าอย่างเดียว คุณก็เช่นกัน คุณมาไกลถึงจุดที่หากจะเดินต่อจากนี้ไปคุณต้องทิ้งความเป็นบุคคลหรือ “องค์ (identity)” เดิมของคุณไปชนิดที่คุณจะหวนกลับไปหามันไม่ได้อีกแล้ว หลายคนที่ผมรู้จัก ได้พยายามเสาะหาความหลุดพ้นมายี่สิบสามสิบปี แต่พอมาถึงจุดนี้ จุดที่จะต้องทิ้งความเป็นบุคคลนี้ไปชนิดที่ไม่อาจหวนกลับไปหามันได้อีก แล้วก็เกิดความลังเล ไม่กล้า แล้วในที่สุดก็หันหลังกลับไป ทั้งๆที่ได้อุตสาห์พยายามเดินมาแล้วนานยี่สิบสามสิบปี จุดนี้มันเป็นจุดที่ครั้นจะเดินหน้าตัวอีโก้หรือ “องค์” เดิมของคุณก็ดิ้นรนประท้วงรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ครั้นจะถอยหลังก็เจอแรงผลักดันลึกๆที่จะมุ่งสู่ความหลุดพ้นผลักไว้ไม่ให้ถอย ตรงนี้คุณต้องตัดสินใจว่าจะยืนยันเดินหน้าหรือจะถอย ชีวิตของคุณ คุณตัดสินใจเอง ผมไม่เกี่ยว

     อนึ่ง อย่าเข้าใจผิดว่าผมยุให้คุณไปบวชนะ แต่ผมยุให้คุณทิ้งอีโก้เก่าคือความเป็นบุคคลที่มีร่างกายนี้เป็นฐานที่มั่น มีชื่อเสียง เกียรติ ทรัพย์ ยศฐาบรรดาศักดิ์ในสังคมเป็นออพชั่นประกอบนี้ไปเสีย ผมยุให้คุณทิ้งองค์นี้ไปเสีย ถอยไปเป็นองค์เดิมแท้ของคุณคือ “ความรู้ตัว” ซึ่งเป็นคุณที่แท้จริง ผมยุให้คุณทิ้งองค์เก่าไปเป็นองค์ใหม่อย่างเห็นดำเห็นแดงเสียทีแทนที่จะอ้ำๆอึ้งๆคุมเชิงกันแบบคาบลูกคาบดอกอย่างตอนนี้ ต่อเมื่อคุณทิ้งอีโก้เดิมของคุณได้แบบเบ็ดเสร็จสำเร็จแล้วโน่นแหละ ค่อยมาว่ากันว่าชีวิตและร่างกายที่เหลือนี้คุณจะใช้มันแบบไหน คุณจะยังทำหน้าที่พ่อที่ดีของลูกและสามีที่ดีของภรรยาและทำงานสร้างสรรค์ที่ค้างคาไว้ต่อไป หรือคุณจะปลีกวิเวกหลีกเร้นไปรอการมาของความตาย (หรืออาหารเย็น..สุดแล้วแต่ว่าอะไรจะมาถึงก่อนกัน หิ หิ) อยู่ที่ไหนสักแห่งโดยไม่ทำอะไร ก็ได้ ถึงตรงนั้นแล้วคุณก็ยังเลือกได้ทั้งสองทาง มันเป็นสิทธิส่วนตัวของคุณ

     3. ถามว่าความหลุดพ้นหรือการตื่นรู้นี้มันคืออะไร ตอบว่ามันแล้วแต่คุณจะถามใครนะครับ เพราะมันเป็นการเอาภาษาไปอธิบายสิ่งซึ่งพ้นภาษาออกไป มันตอบได้เป็นสิบๆแบบ ถ้าถามผม ผมนิยามความหลุดพ้นว่าคือการยอมรับในระดับลึก คือในระดับของการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ว่าความเป็นบุคคล (identity) ของคุณนี้เป็นเพียงความคิดที่ไม่ได้มีสารัตถะหรือมีความมั่นคงอะไร ยอมรับว่าความเป็นบุคคลของคุณนี้ไม่ใช่ที่ที่คุณจะพบความสงบเย็นถาวร และยอมรับว่าคุณจำเป็นต้องวางความเป็นบุคคลนี้ลงเพื่อกลับไปเป็น “ความรู้ตัว” ซึ่งเป็นเพียงความตื่นที่จับต้องมองเห็นไม่ได้แต่ว่าเป็นกำพืดเดิมที่แท้จริงของคุณ คุณจึงจะพบกับความสงบเย็นถาวร ผมเรียกง่ายๆว่าต้องมีการย้ายองค์ หรือ shift of identity อย่างแท้จริงจึงจะถือว่าหลุดพ้นแล้ว

    อีกอย่างหนึ่ง อันนี้ผมเพิ่งคิดขึ้นได้ คุณพูดถึงว่าคุณสนใจอะไรที่เคยสนใจน้อยลงไป ตัวชี้วัดดีกรีขอความหลุดพ้นที่ดีอีกตัวหนึ่งคือถ้าคุณรู้ว่ามีอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่างมันหล่นหายไปจากชีวิตของคุณมากยิ่งขึ้นๆโดยที่คุณไม่ได้อาลัยอาวรหรืออีนังขังขอบกับมันเลย นั่นแหละ คุณใกล้ความหลุดพ้นเข้าไปอีกหน่อยแล้ว คือความหลุดพ้นดูกันที่ว่าคุณปล่อยอะไรทิ้งไปได้บ้าง ไม่ใช่ดูกันที่คุณได้อะไรเพิ่มเข้ามา

     4. ถามว่าถ้าคุณจะมา Spiritual Retreat ผมจะรังเกียจไหม ตอบว่าไม่รังเกียจครับ เพราะผมเป็นหมอผมจะไปรังเกียจคนไข้ได้อย่างไร เพียงแต่ขอให้คุณตระหนักว่าใน Spiritual Retreat ผมไม่ได้ทำหน้าที่หมอรักษาคนไข้ แต่ทำหน้าที่เพื่อนผู้แชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนคนอื่นที่กำลังเดินไปสู่ความหลุดพ้นจากกรงของความคิดของเขาด้วยตัวของเขาเองเท่านั้น แชร์แล้วเขาจะเอาไปใช้หรือไม่เอาไปใช้ จะเดินหรือไม่เดิน จะไปถึงหรือไม่ถึง มันเป็นเรื่องของเขา ผมไม่ไปเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นคุณอย่ามาด้วยความหวังแบบคนไข้มาหาหมอเพื่อให้หมอจับต้องลูบคลำแล้วรักษาให้ตัวคุณหายจากโรค การหลุดพ้นจากความคิดตัวเองมันไม่มีใครที่ไหนอื่นมาช่วยทำแทนตัวเองได้เหมือนอย่างการให้หมอช่วยรักษาเราเวลาป่วยไข้ดอก เราต้องวางความคิดหรือ “องค์” เก่าของเราด้วยตัวเองเราจึงจะหลุดพ้นได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์