Latest

ใครบอกให้ตัดสายสะดือ และ..อย่าฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนบ้า

เรียนคุณหมอสันต์
หนูมีความรู้สึกลึกๆที่ไม่รู้จะพูดกับใคร คิดว่าจะพูดกับคุณหมอได้คนเดียว คือหนูรู้สึกว่าภายในหนูดิ้นรนแสวงหาความอิสระเสรีแต่ก็มีความว้าวุ่นตรงที่ไม่อาจจะข่มใจตัดสายสะดือได้ หมายถึงครอบครัวคือสามีและลูก ทำให้ไม่อาจตัดใจออกจากบ้านไปมุ่งแสวงหาตามลำพังได้ จึงทุกวันนี้กลายเป็นคนซึมเศร้าไม่อยากพูดจากับใคร สามีเห็นเข้าเขาพยายามจะมาพูดด้วยมาทำความเข้าใจก็ไม่เป็นผล หนูควรจะตัดสินใจอย่างไรดี

…………………………………………..

ตอบครับ

     1. ถามว่าอยากจะไปแสวงหาความหลุดพ้น แต่ก็ไม่กล้าตัดสายสะดือทิ้งครอบครัว จะทำไงดี ตอบว่าแล้วทำไมต้องตัดสายสะดือด้วยละครับ ความหลุดพ้นที่คุณอยากแสวงหานี้มันไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้จากการทิ้งครอบครัวไปอยู่สำนักสงฆ์หรือสำนักนางชีนะครับ แต่มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตัวคุณเองเมื่อคุณ “ฝ่าข้าม” อายตนะที่ย้ำเตือนให้คุณยึดมั่นกับขอบเขตอันจำกัดจำเขี่ยของความเป็นบุคคลคนนี้ ออกไปรับรู้ผ่านกลไกที่ลึกซึ้งและละเอียดกว่าอายตนะและความคิดอ่าน ไปรับรู้ถึงความรู้ตัวอันเป็นพลังเมตตาที่เป็นรากฐานให้กำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงทุกชีวิตนอกตัวคุณด้วย

      การที่คุณเกิดมา ได้พบรัก ได้แต่งงาน มีสามี มีลูก และใช้ชีวิตยุ่งเกี่ยวผูกพันอย่างลึกซึ่งกับครอบครัวของคุณ จนคุณแทบจะรู้สึกว่าลูกและสามีนั้นหลอมรวมกับคุณเป็นหนึ่งเดียวจนแทบจะไม่ต่างอะไรกับตัวคุณเองเลย นั่นเป็นการเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่ดีหรือเรียกภาษาจิ๊กโก๋ว่าคุณมาได้สวยแล้ว คือคุณได้เปิดตัวเองออกไปหลอมรวมกับชีวิตอื่น อันได้แก่สามีและลูก การจะเดินต่อจากนี้ไม่ยากเลย เพียงแค่คุณค่อยๆขยายเป้าหมายความรักความเมตตานี้ให้แผ่ออกไปโอบรับชีวิตอื่นอีกสักสองสามสี่ห้าชีวิต แล้วก็ออกไปอีก ออกไปอีกอย่างช้าๆเท่าที่พลังเมตตาจะผลักดันให้คุณไปได้ จนในที่สุดจนคุณรับรู้ได้ว่าทุกชีวิตรอบตัวคุณก็ล้วนแชร์พลังเมตตาที่เป็นฐานของชีวิตอันเดียวกับคุณ แก่นแท้ของทุกชีวิตรอบตัวคุณเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ของชีวิตของคุณ นั่นแหละ คุณหลุดพ้นจากสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้แล้ว ไม่ต้องไปตัดสายสะดืออะไรเลย

     มองในอีกมุมหนึ่ง เส้นทางของการหลุดพ้นนี้มันเป็นวิถีที่น่าจะใกล้กับคำในภาษาอังกฤษว่า invocation ซึ่งคำนี้ผมขอแปลว่าการพยายามขุดค้นเอาสิ่งที่ยิ่งใหญ่ภายในตัวคุณออกมา การจะทำอย่างนั้นได้คุณต้องเข้าไปให้ลึกกว่าอายตนะทั้งห้าและความคิด มันจะเป็นการ feel หรือรับรู้หรือซาบซึ้งกับสิ่งรอบตัวอย่างลึกซึ้ง นอกจากสิ่งมีชีวิตรอบตัวแล้วยังไม่เว้นแม้กระทั่งท้องฟ้าที่เป็นอากาศให้คุณหายใจเข้าไป ผืนดินที่คุณเดินเหยียบไป ต้นไม้ดอกไม่ที่ให้ความสดชื่นแก่คุณ และน้ำท่าที่คุณอาบและดื่ม ให้คุณดำเนินชีวิตให้สอดคล้องสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวด้วยเจตนาที่จะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรโดยไม่ไปพยายามเอาความคิดอันคับแคบด้วยคอนเซ็พท์ความเป็นบุคคลของคุณไปบิดเบือนเจตนานั้น ถ้าผมใช้คำว่ายอมรับหรือ acceptance ก็อาจจะพอสื่อได้แม้ว่าจะไม่สะใจผมนักแต่ผมยังไม่เห็นคำไหนที่ดีกว่า ทำอย่างนี้ไปแล้วคุณก็จะพบว่าในที่สุดคุณจะค่อยๆฝ่าข้ามกรอบของอายตนะที่คอยแต่จะชี้ให้คุณเห็นรั้วของความเป็นบุคคลของคุณออกไปได้

      2. คุณถามมาข้อเดียวนะ ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ คือคุณอย่าฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนบ้า ผมหมายความว่าคุณเสาะหาความหลุดพ้นนั้นโอเค.แต่คุณอย่าไปเล่นกับความคิด เพราะความคิดนี้มันมีอำนาจพาคุณไปไกลจนกู่ไม่กลับหรือบ้าได้ สมมุติว่าเด็กคนหนึ่งชอบเล่นละครว่าตัวเองป่วยเป็นไข้เพื่อจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน หนูน้อยคนนั้นกำลังฝึกฝนร่างกายตัวเองให้เป็นคนขี้โรคเพื่อแลกกับความเอาใจใส่ของพ่อแม่ ทั้งความคิด อารมณ์ และร่างกาย ของเธอก็จะเฮโลร่วมมือเพื่อให้มีอาการเจ็บป่วยเพื่อให้เจ้าตัวซึ่งเป็นนายใหญ่ได้รางวัลที่เธออยากได้

     เช่นเดียวกัน เมื่อหนุ่มสาวที่แต่งงานแล้วเล่นละครบทเศร้าใส่คู่สมรสเพื่อให้ได้ความเอาใจใส่จากคู่สมรส ความซึมเศร้านั้นเป็นความคิดนะ เขาหรือเธอคนนั้นกำลังฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนบ้าด้วยวิธีทดลองเป็นคนบ้าระดับเล็กๆดูก่อน แล้วกลับมาเป็นคนดี เป็นคนบ้าเล็กๆแล้วกลับมาเป็นคนดี ทำแบบนี้บ่อยๆวันหนึ่งพอทดลองเป็นอีกครั้งแล้วก็จะกลับมาไม่ได้ คือบ้าจริงๆไปเลย

     การบ่มเพาะนิสัยโกรธหงุดหงิดโมโหก็เช่นกัน อันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณแต่ไหนๆก็พูดถึงแล้วผมพูดเผื่อท่านผู้อ่านท่านอื่นด้วย การเพาะนิสัยหงุดหงิดมันเป็นการฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนบ้าด้วยหลักการเดียวกันกับการเล่นบทพระเอกนางเอกเรื่องศาลาคนเศร้านั่นแหละ คือทดลองเป็นบ้าไปหลายๆครั้งแล้วกลับมาดี บ้าแล้วกลับมาดี แต่จะมีครั้งหนึ่งที่เป็นบ้าแล้วกลับมาดีไม่ได้ หมายความว่าคุณได้มอบชีวิตนี้ให้กับความคิดของคุณไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ถึงจุดนั้นแล้วไม่มีใครช่วยคุณได้ เพราะแม้หลวงพ่อที่วัดก็ยังประกาศไม่รับคนบ้าเข้าวัด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์