Latest

ก้าวเดินไปสู่การเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง (The Best Version of Mine)

     (หมอสันต์พูดกับสมาชิกแค้มป์ลดน้ำหนักกลางสนามหน้าฮอล ก่อนเริ่มออกเดินทางไกลวันที่สอง)

     เมื่อวานผมได้พูดถึงแนวทางการลดน้ำหนักของเวลเนสวีแคร์ว่าจะโฟกัสที่พฤติกรรมหลักสี่อย่างเท่าน้้น คือ

     (1) เราจะเปลี่ยน Version ตัวเอง จากคนเดิม หรือ V. original แกล้งไปเลียนแบบตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีสุด เป็น The best version of mine หรือ V. Best เลียนแบบหมายถึงการแกล้งทำตัวให้เหมือนมากที่สุด เมื่อวานนี้ทุกคนได้ทำการบ้านวาดภาพตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดขึ้นมาแล้ว ถ้าวันนี้เขาหรือเธอจะมาเดินกันในวันนี้แทนเรา เขาหรือเธอจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะเดินอย่างไร จะทำอะไรอย่างไร เราจะแกล้งทำตัวแบบนั้น ทำได้เหมือนไม่เหมือน ถาวรไม่ถาวร ไม่เป็นไร เพราะเราแค่แกล้งทำ ทำเล่นๆ แต่ทำซ้ำๆให้ถี่ๆ ทำถี่ทุกวินาทีได้ยิ่งดี

    (2) เราจะกินอาหารพืชเป็นหลัก แบบไขมันต่ำและใกล้เคียงธรรมชาติ (plant-based, whole food, low fat) โดยกินให้อิ่ม

    (3) เราจะหาเรื่องเดินทั้งวัน เดินให้เป็นวิถีชีวิต

     (4)  สำหรับคนที่ทำได้ เราจะงดอาหารมื้อเย็น ถ้าทำไม่ได้ก็ให้กินอาหารแคลอรี่ต่ำเช่นผลไม้และสลัดเป็นหลักในมื้อเย็น

     ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะใช้ชีวิตโฟกัสที่สี่อย่างนี้ สำหรับวันนี้ เราจะเริ่มต้นด้วยการใช้เวลาครึ่งวัน คือทั้งภาคเช้าของวันนี้เดิน เดิน เดิน เดินไปดูเมืองคาวบอย แล้วเดินต่อไปอุทยานน้ำตกมวกเหล็ก เดินวนอยู่ในอุทยานสองรอบสามรอบจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงแล้วจึงจะปิคนิคมื้อกลางวันที่ริมน้ำตก นี่คือการเริ่มทำให้การเดินเป็นวิถีชีวิตใหม่ของเรา

     เมื่อวานผมพูดว่าการเปลี่ยนตัวเองจากเวอร์ชั่นเดิมไปเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ว่ามันต้องใช้พลัง ที่มาของพลังมีสามระดับ คือ
     พลังระดับ 1. พลังความคิด หรือ positive thinking (คิดบวก) ซึ่งผมมั่นใจว่าทุกคนก็พยายามคิดบวกอยู่แล้ว แต่ว่าความคิดนั้นมันมีพลังอย่างมากก็แค่ 5% ของพลังความคุ้นเคยกับสิ่งเดิมๆซ้ำซากของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมีพลังกดเราให้อยู่กับร่องเดิมแบบโงหัวไม่ขึ้น
     ผมขอย้ำอีกครั้งว่าวงจรที่พาเราจมซ้ำซากกับวิถีเดิมๆนั้นเป็นวงจรระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งเป็นวงจรที่ฝังอยู่ในระดับร่างกาย ไม่เกี่ยวอะไรกับความคิดอ่านสั่งการของเราเลย วงจรนั้นออกอาการที่ร่างกายก่อน แล้วชักนำให้เกิดความคิดผลักดันให้ไปหาอะไรสนองตอบอาการของร่างกายนั้น วงจรนี้มันแรงขนาดไหน ผมจะยกตัวอย่าง สมัยก่อนผมทำงานเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ ร่วมทีมผ่าตัดหัวใจ มีคนไข้ที่เป็นผู้รับหัวใจ (recipient) คนหนึ่งเป็นหญิงมีความรู้สูงเนี้ยบสะอาดสะอ้าน หลังเปลี่ยนหัวใจแล้วเธอก็มีชีวิตที่ดี แต่ว่าเธอเกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา จนต้องไปหาบุหรี่มาแอบสูบ เพราะหัวใจของผู้ให้ (donor) นั้นเป็นหัวใจของผู้ชายที่ติดบุหรี่ วงจรการติดบุหรี่มันเป็นวงจรในระด้บบรรดาเซลร่างกาย มันแรงขนาดนั้น มันแรงกว่าความคิดบวกหรือความคิดผิดชอบชั่วดีหลายเท่า ดังนั้น พลังที่ได้ในระดับความคิดนี้ มันช่วยเราได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น การเสพย์ติดอาหารก็ดี การเสพย์ติดวิถีชีวิตเดิมๆที่ร่างกายคุ้นเคยก็ดี มันแรงกว่าพลังความคิดมากนัก
     พลังระดับ 2. พลังร่วมกับคนอื่น หรือ synergy ซึ่งผมก็มั่นใจว่าพวกเราทุกคนเต็มที่ ร่วมกันสร้างพลังนี้โดยเชียร์กันและกันอยู่แล้ว
     พลังระดับ 3. พลังความรู้ตัว หรือ awareness ตรงนี้เป็นของใหม่ ที่เราจะต้องฝึกเรียนรู้ ดังนั้นก่อนออกไปเดินเรามาทำความเข้าใจให้ตรงกันในเรื่องนี้เสียหน่อย
     สมัยเราเป็นเด็กนักเรียน เมื่อครูจัด field trip ครั้งแรก บางคนอาจจะยังจำได้ เราจะตื่นเต้นมาก ตื่นนอนก่อนพ่อแม่ด้วยซ้ำเพื่อมาเตรียมตัวไปทริป เราตื่นเต้นลิงโลดยินดี เพราะรู้ว่าวันนั้นจะต้องมีอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยคาดถึงเกิดขึ้น เรียกว่า expect the unexpected นั่นแหละคือวิธีใช้ชีวิตที่ดี expect the unexpected เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ มีความสุขกับการลุ้นว่าวินาทีข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น เปิดใจรับว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เราต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ เราจึงจะได้พลังงานจากความรู้ตัวซึ่งเป็นเดี๋ยวนี้มาใช้ได้ 
     การจะใช้พลังของความรู้ตัว เราต้องอาศ้ยแขนของมัน แขนของความรู้ตัวคือความสนใจ หรือ attention เราต้องเล่นกับความสนใจ เพราะหากความสนใจไปจ่ออยู่ที่ไหน พลังของความรู้ตัวก็จะเทไปที่นั่น สิ่งน้้นจะสำคัญขึ้นมาทันที ตอนนี้ความสนใจของเราไปจ่ออยู่ที่ความคิด ซึ่งเผอิญส่วนใหญ๋เป็นความคิดที่จะยึดเกาะกับวิถีชีวิตเดิมๆ เพราะขึ้นชื่อว่าความคิดร้อยทั้งร้อยย่อมชงขึ้นมาจากตัวตนเดิมๆของเราซึ่งมันชอบที่จะถูลู่ถูกังไปแบบเดิมๆ การมีชีวิตแบบเดิมๆจึงมีแรงดึงเราไว้มาก
     ดังนั้น ขั้นที่หนึ่งของการใช้พลังจากความรู้ตัว คือเราต้องถอยความสนใจออกมาจากความคิด หรือต้องวางความคิด วิธีการคือให้ผ่อนคลายร่างกายก่อน เพราะความคิดมีสองขา ขาหนึ่งเป็นการเกร็งของกล้ามเนื้อร่างกาย อีกขาหนึ่งเป็นเนื้อหาเรื่องราว ถ้าเราผ่อนคลายร่างกายได้เนื้อหาเรื่องราวของความคิดก็จะฝ่อหายไปเอง เอ้า ลงมือทดลองทำขั้นที่หนึ่งก่อน ทุกคนหลับตา สูดลมหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากยาวๆ พร้อมกับสั่งให้ร่างกายผ่อนคลาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า  
     แล้วเราตามไปเช็คดูทั้งๆที่หลับตาเนี่ยแหละ ว่าร่างกายผ่อนคลายจริงหรือเปล่า การเช็คก็ง่ายมาก เช็คที่ใบหน้า ว่ากล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายได้ไหม ด้วยการทดลองยิ้มที่มุมปากดู หากยิ้มไม่ออก ก็แสดงว่ายังไม่ผ่อนคลาย ให้เอาใหม่ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ หายใจออกทางปากช้าๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม..ม ยิ้มออกไหม ต้องเอาจนยิ้มออก
     แล้วก็เช็คที่คอ บ่า ไหล่ ว่ามันยังตึงยังเกร็งหรือเปล่า ถ้าเกร็งก็ทำซ้ำอีก หายใจเข้าลึกๆ ออกยาวๆ สั่งให้มันผ่อนคลายอีก แล้วก็เช็คต่อไปที่หน้าอก หลัง แขน ขา จนทั้งร่างกายผ่อนคลายทั้งตัว
     เมื่อร่างกายผ่อนคลายแล้ว เราก็มาฟีล (feel) ความรู้สึกบนร่างกาย วิธีทำ ให้ทำงี้นะ ผมจะให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นไว้ก่อน ผมจะนับหนึ่งถึงยี่สิบ รอผมนับให้จบก่อน พอผมนับจบแล้วคุณค่อยผ่อนลมหายใจออก พร้อมกับผ่อนคลายร่างกายและรับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าบนผิวหนังทั่วตัวไปพร้อมกันเสมือนว่าเราหายใจออกทางผิวหนัง ใหม่ๆไม่เห็นมีความรู้สึกอะไรเลย ไม่เป็นไร มีแค่ไหนรับรู้แค่นั้น เป็นความรู้สึกซู่ๆซ่าๆเหน็บๆชาๆจิ๊ดๆจ๊าดๆเจ็บๆคันๆขนลุกขนชัน รับรู้ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น การที่เรารับรู้ความรู้สึกบนผิวกายได้ เท่ากับเราได้ถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับพลังงานของร่างกายหรือพลังชี่ได้ อย่างน้อยก็แป๊บหนึ่ง ถ้าชำนาญแล้วให้รู้สึกถึงพลังงานที่แผ่สร้างซู่ซ่าไปทั่วผิวหนังทุกครั้งในจังหวะหายใจออก
     เมื่อฟีลหรือรู้สึกพลังงานของร่างกายได้แล้ว จากนั้นให้ทุกคนฟีลหรือรู้สึกธรรมชาติรอบตัว ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เอ้า หลับตาลง รับรู้ตามที่มันเป็น ได้ยินเสียงนก มีลมมาปะทะขน รู้สึกถึงบรรยากาศ รับรู้ตามที่มันเป็นโดยไม่คิดอะไรต่อยอด นี่เราได้ทิ้งความคิดซึ่งเป็นตัวตนเก่าของเรา มาอยู่ก้บเดี๋ยวนี้โดยที่ไม่มีตัวตนเก่าของเราตามมาอยู่ด้วย เราอยู่ที่นี่ในฐานะความรู้ตัว ตัวตนเก่าของเราไม่ได้มาอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ในแป๊บนี้
      คราวนี้เมื่อเราเดิน ให้สนใจก้าวเดินทีละก้าวเท่านั้น การก้าวไปหนึ่งก้าวนี้เป็นการก้าวจากเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นความรู้ตัวที่ไม่เกี่ยวกับตัวตนเก่า ก้าวไปเลียนแบบตัวตนใหม่ของเราซึ่งเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เป็น The best version of mine หรือ V. Best หนึ่งก้าวคือการเปลี่ยนตัวตนหนึ่งครั้ง ครั้งต่อครั้ง ช็อตต่อช็อต อย่าไปคิดอะไรไกลเกินกว่าหนึ่งก้าว เอาแค่ว่าก้าวนี้ ถ้าเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเรามาเดินด้วยตัวเอง เขาหรือเธอจะเดินอย่างไร แล้วเราก็เดินเลียนแบบตามนั้น อย่าไปมีความคิดเปรียบเทียบหรือค่อนแคะอะไรทั้งสิ้น แค่เลียนแบบเขาหรือเธอผู้เป็น V. Best ไปทีละก้าว ทีละก้าว นอกจากท่าทางการเดินแล้ว ให้เลียนแบบการคิด การพูด การกระทำอื่นๆของ V. Best ด้วย ช็อตต่อช็อต เขาจะมีท่าทางการเดินอย่างมั่นใจอย่างไร เขาจะมีความอึดความอดทนอย่างไร เขาจะเพิกเฉยต่อคำร้องเรียนของความคิดเดิมๆอย่างไร เขาจะยิ้ม เขาจะผ่อนคลายอย่างไร ให้เลียนแบบเขาให้หมด ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ 
     ถ้าไม่แน่ใจว่าขณะนั้นเรากำลังถูกครอบด้วยความคิดเก่าๆอยู่หรือเปล่า ให้เช็คว่าเรายิ้มออกไหม ผ่อนคลายได้ไหม และรับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกายได้ไหม หากเรายิ้มออก ผ่อนคลายได้ รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกายได้ แสดงว่าเราอยู่กับเดี๋ยวนี้ ไม่ได้อยู่กับความคิดเก่า แต่ถ้าเรายิ้มไม่ออก ผ่อนคลายไม่ได้ รับรู้ความรู้สึกบนร่างกายไม่ได้เลย แม้แต่ลมหายใจของเราเองก็ยังลืมรับรู้ แสดงว่าเรากำลังอยู่ในความคิดเก่าๆเสียแล้ว ต้องกลับไปตั้งต้นสนามหลวงเพื่อวางความคิดอีกครั้ง
     ทุกก้าวในการเดิน ให้เดินแบบนี้ จนกว่าเราจะจบการเดินภาคเช้านี้ 
     ขณะเดิน ถ้าร่างกายร้องเรียนว่าเหนื่อยมาก ไปไม่ไหวแล้ว ให้สูดหายใจลึกๆ เป่าลมออกทางปากเพื่อให้ได้ออกซิเจนมากขึ้น ผ่อนคลายร่างกาย รับรู้ความรู้สึกบนผิวกาย แล้วก้าวเดินให้เป็นจังหวะสอดคล้องกับการหายใจ อย่าไปสนใจความคิดที่ร่ำร้องหรือร้องเรียน ให้สนใจอยู่กับฟีลลิ่งบนร่างกาย ถ้ายังเหนื่อยก็ลดความเร็วของการเดินให้ช้าลงไป จนการหายใจมันพอดีกับความเหนื่อย
     โอเค. ก่อนที่จะเริ่มออกเดิน ใครมีคำถามอะไรก่อนไหมครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์