Latest

จดหมายจากหมอหนุ่มเรื่อง COVID-19

เรียนอาจารย์สันต์ที่เคารพ
     ผมอีเมลล์มาพูดคุยครับ
     สถานการณ์ CoVid-19 คงจะเข้าสู่เฟส 3 ในประเทศไทย เร็วๆนี้ (ขอให้ไม่เร็วเกินไป) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมีผู้เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้จำนวนมากหลังเกิดการระบาด รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ยังคงเดินทางเข้ามาเรื่อยๆ
     ตัวผมเอง จากข้อมูลที่ได้รับมาเรื่อยๆ ทำให้เชื่อว่า น่าจะมีผู้ที่ติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง และไม่ได้ไปรับการตรวจเพิ่มเติมอยู่บ้างจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มีโอกาสแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวครับ รวมทั้งการวินิจฉัยทำได้จำกัด จากทรัพยากรที่จำกัด ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อจริง มีโอกาสที่จะสูงกว่าตัวเลขที่รายงานในปัจจุบันครับ
     การดำเนินการของรัฐบาลและผู้นำทั้งหลาย ด้วยความเคารพ ผมยังคิดว่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะขอพาดพิงเพียงเท่านี้ ไม่ลงลึกในด้านการเมือง เพราะผมไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเท่าไหร่ครับ
     ทั้งหมดทั้งปวง นำไปสู่สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ และวิกฤตการณ์ความเชื่อมั่นของประชาชน
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า ผมไม่เคยเจอมาก่อน ตั้งแต่เกิดมา
     คาดการณ์ว่า กว่าวัคซีนจะถูกผลิตได้คงใช้เวลาอาจจะปลายปีนี้ กว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้ คิดว่าเหตุการณ์นี้คงส่งผลกระทบต่อ WWC บ้างไม่มากก็น้อย อยากทราบสถานการณ์ของ WWC ว่าเป็นอย่างไรบ้างครับอาจารย์ รวมทั้งอาจารย์มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ ผมเกรงว่าถ้าสถานการณ์รุนแรง จะทำให้ไม่มีคนมาเข้าแคมป์ สถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะลากยาวเป็นปีครับ กว่าจะคลี่คลาย หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายในปีนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อ WWC บ้างครับ

………………………………………………..

ตอบครับ

     1. ขอบคุณคุณหมอที่เป็นห่วง WWC (ศูนย์เวลเนสวีแคร์)

     2. ที่คุณหมอประเมินการดำเนินการของรัฐบาลและบรรดาท่านผู้นำนั้น ผม no comment

     3. ที่คุณหมอประเมินสถานะการณ์ว่าจะขยับขึ้นไปเป็นเฟส 3 และจะยืดเยื้อไปถึงปลายปี แล้วทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ผมเห็นด้วยว่ามีความเป็นไปได้

     4. ถามความเห็นของผม ตอบว่าความเห็นของผมก็คือการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่เป็นระยะๆเป็นเรื่องปกติ อาจมีคนตายรอบหนึ่งเป็นล้านๆคนก็เป็นไปได้ แต่เนื่องจากมันเป็นโรคติดเชื้อ เมื่อมันระบาดเต็มที่แล้วมันก็จะก็สงบ เพราะมันเป็นธรรมชาติของโรคติดเชื้อ แต่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังสิเป็นปัญหาที่อยู่ยั้งยืนยงมานานและยังแก้ไขกันไม่ได้และอัตราตายและทุพลภาพก็ปีละหลายล้านทุกปี ผมจึงสนใจเรื่องการผลักดันให้วงการแพทย์เปลี่ยนทิศทางการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อร้งมากกว่าครับ

     พูดมาถึงตรงนี้ขอพูดถึงโมเดลคาดการณ์เชิงระบาดวิทยาหน่อยนะ เพราะมีหมอรุ่นหนุ่มสาวเขียนมาหารือด้วยความกังวลสองสามคนแต่ผมยังไม่ได้ตอบ ขอรวบตอบตรงนี้ จริงอยู่หากเราใช้โมเดลวิชาระบาดวิทยา ในกรณีที่การเฝ้าระวังสอบสวนกักกันไม่เป็นผลและโรคมีธรรมชาติระบาดได้เร็วอย่างนี้ มันจะเริ่มสงบก็ต่อเมื่อประชากรผู้ใหญ่ 40-70% ของโลกได้ติดเชื้อเรียบร้อยแล้ว หากอัตราตายของโรคยังคงที่อยู่ที่ประมาณ 3% อย่างตอนนี้ก็เป็นไปได้ที่คนจะตายหลายล้านคน แต่ว่านั่นเป็นแค่ epidemiological model นะ ไม่ใช่ชีวิตจริง ชีวิตจริงมันมีปัจจัยอีกหลายร้อยหลายพันปัจจัยที่โมเดลระบาดวิทยาไม่รู้และไม่สามารถเอามาใส่ได้หมด ผมจึงไม่อยากให้คุณหมอวิตกกังวลกับผลการคำนวณตามโมเดลระบาดวิทยามากเกินไป เพราะเมื่อคุณหมอกังวลกับโมเดลคาดการณ์นี้จนเกินเหตุ คนไข้ของคุณหมอก็จะกังวลเกินเหตุไปด้วย แล้วชีวิตของทั้งสองฝ่ายก็จะดำเนินต่อไปอย่างมีคุณภาพไม่ได้ สู้เราอยู่กับชีวิตจริงตอนนี้ดีกว่า อย่าไปอยู่กับความกังวลถึงอนาคตซึ่งมันไม่ได้มีอยู่จริงเลย ชีวิตจริงตอนนี้คือเราอยู่กับการเฝ้าระวังโรค สอบสวนโรค กักกันโรค และการสอนให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เราก็โฟกัสแค่ตรงนี้ก่อน ในการเป็นหมอคนหนึ่งมันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรนะที่จะโฟกัสแค่นี้ตรงนี้ก่อน ที่คิดไปถึงจะหนีหรือจะเปลี่ยนอาชีพนั้นมันเป็นการไปโฟกัสที่จินตนาการ คือความกลัว ซึ่งเป็นอนาคตที่ไม่ได้มีอยู่จริง ผมมีชีวิตอยู่มาจนแก่แล้วผมมีประสบการณ์ที่จะบอกให้อย่างหนึ่ง คือหากเรากลัวอนาคต เราจะไม่ได้ใช้ชีวิตเลย จะได้แต่อยู่กับความกลัว และตายไปพร้อมกับความกลัว เพราะชีวิตจริงนั้นเขาใช้กันที่ปัจจุบัน ไม่ใช่ใช้กันที่อนาคต 

     5. ถามว่าถ้าสถานะการณ์ไม่คลี่คลาย ไม่มีคนมาเข้าแค้มป์เลย หมอสันต์จะทำอย่างไร อนาคตของ WWC จะเป็นอย่างไร ตอบว่าอนาคตก็เป็นรุ่งริ่งสิครับ จะไปทำอย่างไรได้นอกจากยอมรับมัน แต่ข้อดีของมันก็คงจะมีนะ เช่น WWC อาจหันไปให้ความรู้ผู้คนผ่านอินเตอร์เน็ทมากขึ้นแม้จะไม่ได้ผลลึกเท่าการทำแค้มป์แต่ก็ให้ผลกว้างกว่า ตัวหมอสันต์เองก็จะมีเวลาอบรมพร่ำสอนพนักงานมากขึ้นและมีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระส่วนตัวที่ชอบที่ชอบเช่นการปลูกป่าการทำสวนมากขึ้น ส่วนที่คุณหมอกลัวว่าผมจะเจ๊งนั้นตัวผมเองไม่เคยกลัวเลยเพราะชีวิตที่แท้ไม่มีคำว่าเจ๊ง คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ตราบใดที่ชีวิตยังอยู่และเราไม่หนีเดี๋ยวนี้ไปอยู่ในอนาคต เราก็ยังได้ใช้ชีวิต และหากเรารู้จักใช้ชีวิตอย่างเบิกบาน อย่างรู้ตัว อย่างเต็มศักยภาพที่เรามี เราก็ยังได้กำไรชีวิตไม่มีเจ๊ง เมื่อไหร่ที่เราหนีปัจจุบันไปอยู่กับความกลัวที่ในอนาคตนั่นแหละชีวิตเจ๊ง ส่วนการที่ชีวิตในปัจจุบันเดี๋ยวได้เงินเดี๋ยวเสียเงินนั้น มันก็เหมือนการผ่านเวลากลางวันกลางคืน เดี๋ยวก็มืดเดี๋ยวก็สว่าง มันเป็นธรรมดาของชีวิตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับว่าชีวิตจะเจ๊งหรือไม่เจ๊ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์