COVID-19

โควิด19 ตกงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ

คุณหมอที่เคารพ

หนูกำลังจะตกงาน แฟนหนูตกงานแล้วเรียบร้อย เขาทำงานแบงค์ หนูอยู่ที่ … กำลังท้องได้ 4 เดือน ตอนนี้บริษัทให้หยุดทำงานที่บ้าน ลือกันว่าจะหั่นเงินเดือนเหลือครึ่งหนึ่ง หวั่นอยู่ลึกๆว่าบริษัทจะเลิกจ้าง แม้บริษัทไม่เลิกจ้างหนูก็ไปต่อไม่ไหวแล้ว เงินเดือนสองคนรวมกันเคยได้ 6 หมื่นกว่า ตอนนี้เหลือคนเดียว ต้องผ่อนคอนโด และผ่อนรถ หนูเป็นคนจังหวัด … แฟนเขาเป็นคนจังหวัด … แต่เป็นเด็กในเมือง ที่บ้านหนูมีที่ดินอยู่แปดไร่ ให้เขาเช่าทำนา แต่พี่น้องยังไม่ได้แบ่งกัน มีสองคนพี่น้อง ตอนนี้หนูมืดแปดด้าน เครียด สงสารลูกที่จะเกิดมา หนูเคยมีความฝันมากมายในเรื่องว่าวันหนึ่งเก็บเงินได้มากแล้วจะออกไปทำธุรกิจเล็กๆของตัวเอง  import-export แต่มันจบแล้ว หนูเพิ่งอ่านเจอคุณหมอตอบน้องคนหนึ่งว่าไม่ควรมีลูก หนูอ่านแล้วร้องไห้
หนูควรจะทำอย่างไรดี คุณหมอแนะนำหนูด้วย

……………………………………………………

     จดหมายคุณมาผิดที่หรือเปล่าเนี่ย มาถามหมอสันต์เรื่องการทำมาหากิน หิ หิ น่าขำ แต่เอาเถอะหมอสันต์มีนิสัยชอบตอบจดหมายแปลกๆที่หลงเข้ามา จึงหยิบจดหมายของคุณมาตอบ ให้คุณคิดเสียว่าได้ฟังคำตอบบ้าๆบ้างอาจจะทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น คุณถามมาประเด็นเดียว คือว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตจากนี้ไปดี แต่ผมขอตอบแยกเป็นประเด็นย่อยๆตามแต่ผมจะคิดได้นะ

1. โควิด 19 จะจบเมื่อไหร่

     การจะวางแผนอนาคตมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดาปัจจัยบางตัวที่ไม่มีใครรู้ความจริงสักคนก่อน นั่นคือเรื่องโควิด19 นี้จะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะจบ ทางรัฐบาล พวกนักธุรกิจ คนเล่นหุ้น คนค้าขาย ต่างหวังกันว่าสองสามเดือนมันคงจะจบ แต่ว่าอย่าลืมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ “โรค” นะ แล้วใครละที่รู้เรื่องโรคดี คุณเคยได้ยินหมอคนไหนพูดบ้างไหมว่าอีกสามเดือนโรคโควิด19 จะจบ ถ้าจะให้หมอสันต์เดา เรื่องในประเทศอีกไม่กี่เดือนอาจจะจบได้จริงถ้าคนไทยส่วนใหญ่ร่วมมือกัน แต่เรื่องจะเปิดประเทศให้คนเดินทางเข้าออกได้ ให้คนต่างชาติเดินทางเข้ามาเมืองไทยได้ ซึ่งมันเกี่ยวกับธุรกิจของคุณโดยตรงนั้น ผมว่าให้คุณมองไปที่ 18 เดือน ทั้งนี้ผมเดาเอาจากการคำคาดการณ์ของคณะกรรมการพัฒนาวัคซีนร่วมของกลุ่มประเทศยุโรป ว่ากว่าจะได้วัคซีน (ถ้าได้) จะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ที่ต้องรอวัคซีนก็เพราะในยุโรปและอเมริกาเชื้อได้ระบาดเกินจุดที่จะไล่ตะครุบได้ทันเสียแล้ว ต้องรอวัคซีนลูกเดียว

2. สภาพการทำมาหากินทั่วไปมันจะเป็นอย่างไร

     คราวนี้เรามาพูดถึงเรื่องการจะทำมาหากิน ตรงนี้ก็จำเป็นต้องเดาอีก ไม่งั้นวางแผนอนาคตไม่ได้ คราวนี้ผมต้องเดาเรื่องที่ผมไม่ได้เรียนมา วิธีเดาผมก็เดาเอาจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆในอเมริกา ณ วันนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อมูลเชิงลึกอะไร ผมก็แค่อ่านเอาจากนิตยสารไทม์ที่ผมบอกรับเป็นสมาชิกมาหลายสิบปีแล้วเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆแดงๆเห็นๆแล้ว มีดังนี้
     (1) คนอเมริกันถูกให้ทำงานอยู่ที่บ้าน 70 ล้านคน แปลว่าคนเหล่านี้ต่อไปส่วนหนึ่งจะไม่มีงานทำเพราะงานที่ทำที่บ้านได้ก็รู้ๆก้นอยู่ว่ามันไม่ใช่งานจำเป็นเสียทั้งหมด
     (2) คนอเมริกันสิบกว่าล้านคนยื่นขอเงินเดือนคนว่างงาน แปลว่าพวกนี้ตกงานไปเรียบร้อยแล้ว
     (3) ตลาดหุ้นได้ตกจากราว 29,000 จุดเหลือราว 20,000 จุด คือตกบ้าเลือดยิ่งกว่ายุควิกกฤติแฮมเบอร์เก้อร์เมื่อปี 2008
     (4) รัฐบาลแจกเงินแก้ปัญหาไปแล้ว 2 ล้านล้านเหรียญแต่ไม่พอ หนังสือพิมพ์ไทม์เคาะตัวเลขว่าต้องใช้ราว 6 ล้านล้านเหรียญจึงจะกู้เศรษฐกิจได้ ซึ่งรัฐบาลคงต้องทำอย่างนั้นแหงๆ อันจะมีผลให้เงินดอลล่าร์กลายเป็นแบงค์กงเต๊ก
     (5) รัฐบาลออกกฎหมายอุ้มแบงค์ ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีเงินสำรองไว้กับธนาคารกลางก็ได้และธนาคารกลางได้เข้าไปซื้อสินทรัพย์ขี้หมาของแบงค์ไว้หมด แปลไทยเป็นไทยก็คือระบบธนาคารของสหรัฐน่าจะเจ๊งกะบ๊งไปแล้วเรียบร้อยทั้งระบบแต่รัฐเอาเงินภาษีไปอุ้มไว้เพราะกลัวสังคมปั่นป่วน
     (6) ร้านรวงบริษัทห้างร้านในอเมริกาตอนนี้ปิดเกือบหมดเพราะไม่มีคนซื้อ เครื่องบินหยุดบิน เรือหยุดออก รถโดยสารส่วนใหญ่หยุดวิ่ง

     ทั้งหมดที่เกิดที่อเมริกาวันนี้ คือสิ่งที่จะเกิดกับเมืองไทยวันพรุ่งนี้ รายละเอียดผมขออนุญาตไม่ล้วงลึกเพราะมันไม่สร้างสรรค์ ผมพูดได้แต่ว่าต่อแต่นี้ไปในโลกใบนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม บริษัทที่จะเจ๊งไปรอบนี้จะมีจำนวนมาก และในบรรดาที่เจ๊งจะมีจำนวนมากที่จะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว คือไปแล้วไปเลยสวีวี่วี อาชีพหลายอาชีพจะหายไป อาชีพใหม่ๆแปลกๆจะเกิดขึ้นแทน สิ่งที่แน่นอนมีอย่างเดียวคือ..ความไม่แน่นอน

3. ความนี้มาวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของคุณ

     สมัยหนุ่มๆผมเคยตั้งบริษัททำธุรกิจมาสองสามบริษัท กำไรบ้างเจ๊งบ้าง (ส่วนใหญ่เจ๊ง) และมีอยู่ช่วงหนึ่งต้องดูแลบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องลงหลุม (คือเจ๊งและขอพักการชำระหนี้) หากเอาความรู้เก่ามาสมมุติว่าครอบครัวคุณเป็นบริษัท สถานะของบริษัทของคุณตอนนี้ก็คือ
     (1) สินทรัพย์มีพอๆกับหนี้สิน แต่เป็นสินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดยาก ไม่ว่าจะเป็นคอนโดหรือรถยนต์
     (2) ขาดสภาพคล่อง มีเงินสดแค่ห้าหมื่นกว่าบาท (แต่ไม่แปลกนะ คนไข้ของผมที่ทำงานกับตัวเลขพวกนี้บอกผมว่าคนไทย 80% มีเงินสดอยู่ในแบงค์ต่ำกว่าห้าหมื่นบาท)
     (3) รายจ่ายมากกว่ารายได้ พูดแบบบ้านๆก็คือธุรกิจกำลังขาดทุนอยู่ทุกวัน

     ถ้าเป็นธุรกิจ แนวทางการแก้ปัญหาก็คงไม่ยาก (1) คือรักษาสภาพคล่องสุดชีวิต (5) ลดรายจ่ายจนเลือดหยุดไหล (2) ประนอมหนี้ (3) ชลอการชำระหนี้ (4) ขายสินทรัพย์มาเสริมสภาพคล่อง (6) แล้วค่อยๆสร้างรายได้ทีละเล็กทีละน้อยแบบค่อยๆคลานขึ้นมาใหม่ (5) ถ้าไปไม่รอดก็ชักดาบหนี้ ลงหลุม รอเทวดามาทำ rehab ถ้าเทวดาไม่มาก็ล้มละลายไป

4. คำแนะนำคือ..กลับไปตั้งต้นที่สนามหลวง

     แม้จะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ธุรกิจ การแก้ปัญหาก็ทำแบบเดียวกัน ผมแนะนำคุณว่า

     4.1 เปลี่ยนแนวทางชีวิตใหม่ เอาความสุขสงบของชีวิตครอบครัวที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเป็นเป้าหมายของชีวิต ไม่ใช่เอาการร่ำรวยเงินทองเป็นเป้าหมายของชีวิต เพราะเมื่อเงินกลายเป็นเงินกงเต๊กมันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว

     4.2 ให้คุณยึดกุมสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต 4 อย่าง คือ (1) มีที่อยู่ของตัวเองที่ไม่ต้องเช่าเขา (2) มีอาหารดีกินในรูปแบบที่ไม่ต้องแพง (3) มีสุขภาพดี (4) ได้ใช้ชีวิตไปทีละขณะอย่างสงบเย็น

     4.3 ผมคาดหมายว่าบริษัทของคุณจะเจ๊งค่อนข้างแน่ เพราะขนาดบริษัทโบอิ้งอันใหญ่โตอัครฐานยังจะเจ๊งเลย ถ้ารัฐบาลอเมริกันไม่อุ้มต้องเจ๊งแหงๆ ดังนั้นให้คุณวางแผนขายสมบัติ ทั้งหุ้น คอนโด รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้อะไรขายได้ขายหมด รีบขายซะตอนนี้ก่อนที่ในตลาดจะมีแต่คนเปิดท้ายขายของ ขายทางเน็ทก็ได้ อย่างเช่นรองเท้ามีสิบคู่ขายถูกๆทิ้งเสียเก้าคู่ แล้วเก็บเงินสดกล้บไปอยู่บ้านนอก หุ้นก็ขายเสียด้วย อย่าลืม คุณอย่าไปอาลัยอาวรณ์กับหุ้นและอย่าไปเชื่อที่คนเขาว่ามันจะตกเล็กๆแค่เป็นตัว J ไม่ใช่ตัว U คนพูดอย่างนั้นแสดงว่าเกิดไม่ทันการเล่นหุ้นยุคซัดดัม (สงครามอเมริกากับอิรัก) แต่ผมว่ามันจะเป็นตัว U ไม่ใช่ U แบบท้องช้างด้วย คือเป็นตัว U แบบท้องงูเหลือมเลยทีเดียว ขายทิ้งไปก่อน วันหน้าพอโควิด19 จบคุณอยากซื้อใหม่ก็ซื้อได้ ได้ของดีกว่าและถูกกว่าตอนนี้เสียอีก ตอนนี้ให้สงวนเงินสดสุดชีวิต หนี้ที่ติดผ่อนรถและคอนโดอยู่ก็ไม่ต้องชำระเขาตรงเป๊ะๆหรอก อิดๆออดๆบ้าง กระบิดกระบวนบ้าง คือจ่ายให้ช้าลงหรือบางเดือนขอจ่ายครึ่งเดียว บางเดือนขาด แต่อย่าชักดาบแบบหายหน้าไปเลย แค่ตะแบงก็พอ ปะจังหวะเหมาะๆก็ขอตั้งโต๊ะเจรจาประนอมหนี้ ไม่แน่นะ ต่อไปรัฐบาลอาจจะออกซอฟท์โลนมาให้คุณชำระหนี้ดอกแพงพวกนี้ก็ได้ ตอนนี้ก็เห็นว่าเริ่มออกซอฟท์โลนดอกต่ำระดับ 0.1% ผ่านแบงค์ออมสินมาแล้ว เพียงแต่ว่าออกให้แบงค์พานิชย์ไปปล่อยกู้ต่อที่ 2% เพื่อให้แบงค์พานิชอยู่ได้ไม่พากันเจ๊งไปเสียก่อน ต่อไปอาจจะมีซอฟท์โลนให้คนขู่จะทิ้งบ้านก็ได้ ดังนั้นถ้าขายคอนโดยังไม่ได้ก็ให้คุณใช้วิธีตะแบงหนี้รอจังหวะไปก่อน ส่วนรถยนต์นั้น..ด้วยความเคารพ ขายทิ้งได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

     ไปอยู่บ้านนอกแล้วก็ให้สร้างที่อยู่ง่ายๆแบบเพิงพักขึ้นมาในที่ดินที่มีอยู่โดยไม่ต้องเช่าเขา ปักหลักอยู่แบบพี่งตัวเองให้ได้ก่อน วางแผนให้เงินที่มีอยู่พอใช้ไปอย่างน้อย 18 เดือน หัดผลิตอาหารเอง เหลือก็แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ถ้าโอกาสอำนวยก็ขายผลผลิตส่วนที่เหลือจากที่เรากินและใช้เองไปบ้าง แต่อย่าไปตั้งต้นว่าจะผลิตอะไรขายให้คนอื่น ให้ตั้งต้นว่าจะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้โดยไม่ต้องไปง้อขายอะไรให้ใครก่อน อย่าไปหวังรวยเพราะเกษตร เนื่องจากในชีวิตจริงให้งาช้างงอกออกมาจากปากหมายังจะง่ายเสียยิ่งกว่าคนจะรวยเพราะการทำเกษตรกรรม ในการทำเกษตรกรรมอย่าคิดทำเป็นอาชีพ เพราะมันยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ความจริงคนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพดอก แค่พึ่งตัวเองได้ก็มีความสุขได้แล้ว ให้คุณทำเกษตรกรรมแบบ “เกษตรเพื่อชีวิตและเพื่อโลกและสังคม” หมายความว่าทำเกษตรแล้วชีวิตคุณมีความสุขมากขึ้น มีอาหารสุขภาพกิน ลูกสามีได้อยู่กันพร้อมหน้า และคุณปลูกต้นหมากรากไม้ให้โลกนี้มันเขียวขึ้น และถ้าคุณเอ็นจอยคุณอาจรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรเพื่อช่วยกันและกันในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต การเลือกใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีการสื่อสารและการตลาดสำหรับสินค้าที่ผลิตได้มากเกินการบริโภคของตัวเอง หากทำได้นี่ก็จะเป็นการทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง

     เมื่อได้ไปอยู่บ้านนอกจริง ให้ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้ทำสิ่งที่สำคัญยิ่งในชีวิต นั่นคือการเรียนรู้ที่จะมีความสุขที่แท้จริงจากการกลับเข้าไปสู่ข้างในตัวเอง เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่จะไปหาได้จากความสำเร็จหรือการหยิบฉวยอะไรจากสถานะการณ์ภายนอกซึ่งเป็นโลกของความคิด อย่าไปอาลัยอาวรณ์อะไรกับสมมุติในทางโลกไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน วุฒิการศึกษา การมีเงิน การได้บลัฟคนอื่น การได้เป็นที่อิจฉาของคนอื่น เหล่านั้นคืออัตตาซึ่งเป็นเพียงการหลงอยู่ในโลกของความคิด

     อย่ากลัวอะไร เพราะความกลัวก็เป็นเพียงความคิดแต่ว่ามันมีอำนาจล้นฟ้าที่จะทำให้คุณเป็นทุกข์ ให้คุณเอาชนะความกลัวด้วยการยอมรับทุกอย่างตามที่มันเป็น ที่สุดของสิ่งที่ยากจะรับได้คือความตาย ให้คุณยอมรับทุกอย่างได้แม้กระทั่งความตายถ้ามันเกิดขึ้นก็ยอมรับได้ ทำไมจะยอมรับไม่ได้ละในเมื่อทุกคนเกิดมาก็ต้องตายหมดไม่มีใครรอดสักคน เมื่อยอมรับความตายได้อย่างอื่นก็ยอมรับได้หมดแล้วคุณจะได้ไม่ต้องกลัวอะไร อย่าไปคิดคาดการณ์อะไร อย่าไปลุ้นยอดโควิดในแต่ละวัน ต่อไปจะเป็นฉันใด ช่างแม่ม..ม ให้ใช้ชีวิตแบบอยู่กับเดี๋ยวนี้ไปทีละขณะ ทีละขณะ

     ความสุขที่แท้จริงหาได้จากการวางความคิดทิ้งไปให้หมดแล้วกลับเข้าไปสู่ “ความรู้ตัว” ที่ข้างใน ที่ตรงนั้นมันเป็นความสงบเย็นที่ไม่มีสุขอะไรจะยั่งยืนกว่า วิธีทำก็เริ่มด้วยการหัดนั่งสมาธิ อ่านเอาจากบทความเก่าๆในบล็อกนี้ก็ได้ ผมเขียนไว้แล้วเยอะมาก

โชคดีนะ

     “..ไปดีเถิดนะ 
     พี่ขออวยพร 
     ให้เจ้าไปดี..”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์