Latest

เซ็กซ์ พรหมจรรย์ และวิปัสนา

     หนูอายุจา38แล้วค่ะ แม่ชอบบอกให้มีผัวมีลูกซะ แถมจาให้หนูเอาผัวฝรั่งด้วย หนูละปวดกบาล ขี้เกียจฟังแกพล่าม  หนูเป็นโสดมานานแล้วคะ สบายตัวสบายใจดี เบาดี (พอหนูมีหลานละ หนูยังปวดหัวแทนแม่มันเลยค่ะ ไหนจาลูกจาผัว) #โชคดีหนูไม่มีผัว ไม่มีลูกด้วย เย้…
     แต่ในหนังสือ ข้ามห้วงมหรรณพ มันก็บอกว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง พอเกิดมาก็เป็นไปตามสันชาตญาน เช่น แม้แต่อมีบาก็ยังอยากสืบพันธุ์ขยายพันธุ์หาทางขยายพันธุ์จนได้
     อย่างคนเรา พอ14 เราก็มีอารมณ์อยากมีแฟน อยากมีเซ๊กส์พอ20กว่ามีแฟนแล้วเราก็อยากแต่งงาน ละก็อยากมีลูก พอแก่มาเราก็อยากมีหลาน อยากมีเหลน(หนูก็เคยเป็น ตอนนั่นมีแฟนคนแรกอายุ23 หนูก็มีความรู้สึก โลดสดสวย อยากแต่งงาน อยากแต่งงาน ไปบอกแม่ แต่แฟนหนูจน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หนูก็เพ้อเรื่องงานแต่งอยู่คนเดียว)
     แต่ทุกวันนี้หนูทำตรงข้ามกับที่หนังสือบอกไว้ คือหนูถือพรหมจรรย์เลิกมีเซ๊กส์ละหนูก็โสดนานเลย คุณหมอว่าเราควรใช้ชีวิตแบบฝืนฮอร์โมนแบบที่หนูทำมั๊ยคะ? คือพอมีกามารมณ์ หนูก็พยายามมอดละเบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่นซะ ดูเหมือนเป็นการฝืนธรรมชาติเนอะ ไม่รู้ล่ะ หนูจาตายคนเดียว ไม่ทิ้งลูกทิ้งหลานไว้ในโลกนี้หรอก แค่ชีวิตหนูคนเดียวก็ทรมานแล้ว เหอๆ
     เห็นหมอชอบตอบคำถามส่วนใหญ่ว่า ให้ปล่อยวางความคิด พอหนูเห็นความว่าง เห็นช่องว่างของใจแล้ว รู้สึกสบายแล้ว ให้ไปไหนต่อคะ ละการยกจิตขึ้นสู่วิปัสนาแปลว่าอะไรคะ มันคืออะไรอ่ะคะ?
     หนูมีอีกปัญหานึง เวลาเพลงฮิตๆที่หนูเพิ่งชอบ เพิ่งอินกับมัน ชอบฟังมัน เมโลดี้เนื้อเพลงนั้นมันจาชอบเข้ามาดังในหัวไม่หยุดเลย วนๆ  มาแล้วมาอีก หลายรอบมาก ทำไงดีอ่ะคะจาหยุดเสียงเพลงในหัวแบบนี้ได้
ของคุณค้าาาา
(ชื่อ)
………………………………………………….

ตอบครับ

     1. ถามว่าแม่เร่งให้เอา ผ. ทุกวันจะทำอย่างไรดี ปัญหานี้ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เจอ บ้างถูกเร่งให้มีแฟน บ้างถูกเร่งให้แต่งงานมีสามี บ้างถูกเร่งให้มีลูก ทั้งหมดนี้มันเป็นความบันเทิงในชีวิตของผู้เป็นแม่ในฐานะผู้ชราซึ่งไม่มีอะไรอย่างอื่นทำแล้ว คุณอย่าไปถือสาเลย แต่ถามว่าคุณควรจะทำอย่างไร ตอบว่าคุณก็ฝึกวิชาหูทวนลม หรือถ้าคุณกับแม่คุยอะไรกันตรงไปตรงมาได้ คุณอาจจะพูดอย่างที่ลูกสาวของคนไข้ของผมคนหนึ่งพูดกับเธอก็ได้

     “..ก็หนูหาไม่ได้อะ แม่เก่งแม่ก็หามาให้หนูสักคนสิ”

     2. ถามว่าไปอ่านหนังสือข้ามห้วงมหรรณพเขาแนะนำให้มีเซ็กซ์เพราะมันเป็นสัญชาติญาณ เอ.. คุณหมายถึงนิตยสารข้ามห้วงมหรรณพที่ อ. อัฉราวดี วงศ์สกุล เป็นบก.อยู่หรือเปล่า ถ้าทางคุณจะเก็ทมาผิดแล้วนะ ผมไม่เคยอ่านหนังสือข้ามห้วงมหรรณพ แต่ผมรู้จักอ.อัจฉราวดี คุณจับความมาผิดแน่นอน หรือคุณจับความแบบทนาย คือทนายมีกฎหมายกำหนดว่าห้ามพูดโกหก ดังนั้นทนายจะถนัดมากในการพูดความจริงแบบพูดแค่ครึ่งเดียว เพราะแค่พูดความจริงครึ่งเดียวนี้คนพูดเก่งก็เปลี่ยนสีดำให้เป็นสีขาวได้

     กลับมาประเด็นของคุณดีกว่าว่าการใช้ชีวิตแบบฝืนฮอร์โมนเพศนี้มันผิดธรรมชาติและเสียหายไหม ตอบว่าคุณจะทำแบบไหนก็ได้ขอให้เอาตามที่คุณชอบ เพราะคุณจะชอบอะไรไม่ชอบอะไรมันขึ้นอยู่กับขั้นตอนพัฒนาการของชีวิตคุณว่ามันพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว ทุกชีวิตเกิดมาล้วนถูกโปรแกรมไว้ในดีเอ็นเอ.ของเซลแล้วว่าจะต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่รอดและสืบทอดเผ่าพันธ์ก่อนที่จะตายไป ดังนั้นก็ต้องดิ้น รน กิน ถ่าย สืบพันธ์ นอน และเสาะหาความปลอดภัย สลับกันไปเรียกว่าเป็นสัญชาติญาณการใช้ชีวิตเพื่อความอยู่รอด (survival instinct) เนื่องจากกลไกการเรียนรู้ของสัตว์ทุกระดับเป็นกลไกย้ำคิดย้ำทำซ้ำซาก (compulsiveness) คือถ้าทำครั้งนี้อย่างนี้แล้วเกิดความชอบครั้งหน้าก็จะทำอย่างนี้อีก ธรรมชาติก็จึงมักจะผูกอะไรที่สัตว์ชอบไว้ตอนจบของการทำอะไรเพื่อความอยู่รอด เช่นให้เกิดความอิ่มเมื่อได้กิน เกิดความสดชื่นเมื่อได้หลับ เกิดความผ่อนคลายปลอดโปร่งเบิกบานว่างจากความคิดแว้บหนึ่งเมื่อถึงออร์แกสซั่มตอนปลายของการมีเซ็กซ์ เป็นต้น กลไกย้ำคิดย้ำทำนี้ทำให้สัตว์ “ติดกับ” ต้องวนเวียนใช้ชีวิตอยู่ใน survival mode อย่างไม่รู้จะออกจากวงจรนี้ไปอย่างไรได้ มีแต่จะหาทาง “ตกแต่ง” สัญชาติญาณเพื่อการอยู่รอดนี้ให้มันโรแมนติกขึ้นหรือน่ารื่นรมย์ขึ้น บ้างติดในอาหาร ต้องแสวงกิน กลางคืนก็ยังฝันถึงอาหาร และตกแต่งถ้วยชาม แก้ว ผ้าปูโต๊ะ ให้วิจิตร บ้างติดในการขับถ่ายถึงขั้นต้องทำโถส้วมทองคำไว้ใช้ส่วนตัว บ้างติดในเซ็กซ์ มีเมียไม่รู้กี่คนแต่ก็ยังขยันหาเมียอีกเพราะไม่รู้จะหยุดที่ตรงไหน ทั้งหมดนี้ต่างก็ภาคภูมิใจว่าตัวเองนี้มีชีวิตที่อิสระเสรีอยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังติดกับดักของรางวัลเล็กๆที่ธรรมชาติวางไว้ที่ปลายร่องของวงจรย้ำคิดย้ำทำหรือ compulsiveness ทำให้ไม่สามารถออกจากวงจร survival instinct นี้ไปได้ ก็ต้องใช้ชีวิตแบบกิน ถ่าย สืบพันธ์ นอน และเสาะหาความปลอดภัยเพื่อปกป้องตัวเอง จนกว่าจะตายไป

     ควบคู่ไปกับการโปรแกรม survival instinct ไว้ในดีเอ็นเอ.กับการสร้างวงจรเรียนรู้แบบย้ำคิดย้ำทำไว้ให้กับทุกชีวิต ธรรมชาติยังเปิดให้ทุกชีวิตค่อยๆพัฒนาตัวเองไปด้วย โดยการให้สมองส่วนหน้าใหญ่ขึ้นๆ ซึ่งในแง่นี้มนุษย์พัฒนามาได้ไกลกว่าสัตว์อื่น มีสมองส่วนหน้าที่ใหญ่กว่าเขาเพื่อน มีความสามารถคิดวินิจฉัยและจดจำได้มากกว่า ทำให้เกิดคำถามว่า

     “เอ๊ะ ชีวิตมีแค่เนี้ยเหรือ กิน ถ่าย สืบพันธ์ แล้วนอน”

     ตั้งคำถามได้แล้ว สมองที่พัฒนามาถึงระดับหนึ่งแล้วยังสามารถค้นหาคำตอบด้วยวิธีต่างๆได้ด้วย จนคนจำนวนหนึ่งเกิดความสามารถที่จะ “สังเกต” ดูร่างกายและความคิดของตัวเองโดยไม่เข้าไปกระโดดโลดเต้นตามสัญชาติญาณของร่างกายหรือผสมโรงเต้นไปกับความคิด แน่นอนว่าแต่ละคนอยู่ที่ขั้นตอนของการพัฒนาการที่แตกต่างกัน บางคนมาถึงจุดนี้ บางคนยังมาไม่ถึง แต่คนที่มาถึงจุดที่รู้ตัวและสังเกตความคิดของตัวเองได้แล้วก็จะพบว่าชีวิตที่แท้จริงหรือความรู้ตัวนี้เป็นอิสระจากร่างกายและจากความคิด จุดนี้แหละคือความหลุดพ้นจากการจองจำของ survival instinct และกลไกการย้ำคิดย้ำทำ (compulsiveness) 

     ดังนั้นคุณถามว่าคุณจะฝืนใจเลิกมีเซ็กซ์หันมาถือพรหมจรรย์ได้ไหม ตอบว่าได้สิครับหากพัฒนาการของคุณมาถึงจุดนี้แล้ว แต่มีคนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในระดับเบื่อๆอยากๆ คืออยากจะเลิกมีเซ็กซ์ แต่พอมีใครมาให้ท่าก็…เสร็จ นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะพัฒนาการของเรายังอยู่ที่ตรงนั้น เราก็ย่ำอยู่ตรงนั้นไปก่อนได้ เมื่อใดที่พัฒนาการของเรามันจะข้ามพ้นตรงนั้นได้ มันก็จะข้ามพ้นได้เองแบบชิว..ชิว เพราะฉะนั้นหากคุณกระหายอยากมีเซ็กซ์มากเหลือเกินทนไม่ไหวก็กลับไปมีเซ็กซ์ซะให้หนำใจก่อนก็ได้ เบื่อเมื่อไหร่ค่อยเดินหน้าต่อก็ได้ นี่เป็นคำตอบของหมอสันต์นะ ไม่เกี่ยวอะไรกับคำสอนของพระสงฆ์องค์เจ้า

     3. ถามว่าหมอชอบบอกให้ปล่อยวางความคิด พอหนูเห็นความว่าง เห็นช่องว่างของใจแล้ว รู้สึกสบายแล้วไงต่อละคะ ตอบว่าคำว่า

     “แล้วไงต่อ”

     เป็นความคิดนะ คือความคิดนี้มีมิติอยู่ในเวลาทางจิตวิทยา (psychological time) คือหากไม่อยู่ในอดีตก็อยู่ในอนาคต ความรู้สึกผิด เศร้า เสียใจ เป็นความคิดที่อยู่ในมิติของอดีต ความกังวง กลัว หรือข้องใจสงสัย เป็นความคิดที่อยู่ในมิติของอนาคต เมื่อใดที่ในหัวของคุณมีคำถามว่า “แล้วไงต่อ” แสดงว่าชีวิตของคุณยังจมอยู่ในความคิด ยังไม่อยู่ในความรู้ตัว ความรู้ตัวคือปัจจุบัน คือเดี๋ยวนี้ ไม่มีคำว่าแล้วไงต่อ เพราะเดี๋ยวนี้ก็คือเดี๋ยวนี้ จะไปมีแล้วไงต่อได้ไงละ ดังนั้นแทนที่จะเสาะหาคำตอบให้คำถามว่าแล้วไงต่อ ให้คุณเลิกถามถึงอนาคตเสีย อยู่กับเดี๋ยวนี้ให้ได้ก่อน คุณจึงจะพ้นจากความคิด หรือวางความคิดได้จริง

     4. ถามว่า “ยกจิตขึ้นสู่วิปัสนา” แปลว่าอะไร ตอบว่าผมไม่ทราบครับ ผมเข้าใจว่ามันเป็นคำสอนของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ผมเองไม่มีความรู้เรื่องศาสนาพุทธ ยิ่งพุทธนิกายเถรวาทผมยิ่งแทบไม่รู้เลย ดังนั้นคุณต้องไปถามคนที่พูดคำนี้เอาเอง ถ้าจะบีบเอาคำตอบจากผมก็จะเป็นแค่การเดาใจคนพูด ซึ่งมันมีโอกาสผิดมากกว่าถูก

     การเดาที่ 1. ผมเดาว่าคนพูดหมายถึงเมื่อเอาความสนใจจดจ่อกับเป้าเช่นลมหายใจจนความคิดจรหมดไปแล้ว ให้เริ่มหันมาพิจารณาไตร่ตรองถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งเพื่อจะได้ปล่อยวางความยึดถือ (ผมเดาใจคนพูดเฉยๆนะ แต่ขอย้ำตรงนี้หน่อยว่าตัวหมอสันต์เองไม่แนะนำให้ใครพิจารณาไตร่ตรองอะไรทั้งนั้น เพราะนั่นเป็นการตั้งต้นความคิดใหม่ซึ่งจะพาวนเวียนอยู่ในโลกของความคิดอีกไม่รู้จบ)

     การเดาที่ 2. ผมเดาว่าคนพูดหมายความว่าเมื่อความสนใจจดจ่อที่เป้าเช่นลมหายใจจนความคิดจรหมดแล้ว ให้ถอยการจดจ่อเพื่อเปิดให้ความคิดโผล่ขึ้นมา แล้วสังเกตความคิดนั้นให้เห็นอาการที่มันเกิดขึ้น อยู่ได้พักหนึ่ง แล้วก็ดับไป

     ทั้งหมดนั้นเป็นแค่การเดาใจคนพูดคำนี้ขึ้นมา ของจริงคนพูดเขาตั้งใจจะหมายความว่าอย่างไรคุณก็ไปถามคนพูดเอาเองสิครับ

     5. ถามว่าเพลงฮิตๆที่คุณชอบมันจะชอบเข้ามาดังในหัวไม่หยุดเลย วนๆ  มาแล้วมาอีก หลายรอบมาก ทำไงดี ตอบว่าก็นั่นคือการฝึกสมาธิแบบที่เรียกว่า “มันตรา” คือให้เสียงอะไรก็ตามอ้อยอิ่งวนเวียนอยู่ในหัวให้เราจดจ่อที่เสียงนั้นเพื่อเบียดให้ความคิดจรตกไป มันก็เป็นของดีอยู่แล้ว คุณก็แค่ตามฟังมันไปโดยไม่ต้องเหนื่อยไปรบกับความคิดจร ดีแล้วไง เพียงแต่ว่าคุณอย่าเผลอไปตีความเนื้อเพลงเข้าก็แล้วกัน เพราะนั่นจะกลายเป็นความคิด แค่ฟังเสียงดนตรี ตามที่มันเป็นเสียงดนตรี วิธีนี้ก็ทำให้บรรลุธรรมได้นะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์