Latest

นี่แหละคือความหลุดพ้น

     ในระหว่างที่รอเพื่อนๆ เพื่อเป็นการฆ่าเวลา เรามาเล่นเกมเล็กๆกันไปพลางก่อนนะ

     ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ตัวเองสบาย แต่ขอให้ตั้งกายตรง

     ผ่อนคลายร่างกาย

     ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น หายใจเข้าลึกๆเต็มปอด กลั้นไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกยาวๆพร้อมกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า ทำอย่างนี้สักสามครั้ง

     ครั้งที่สอง หายใจเข้าลึก..ก กลั้นไว้ ผ่อนออกยาวๆ ผ่อนคลาย

     ครั้งที่สาม หายใจเข้าลึก..ก…ก เต็มที่ กลั้นไว้นานที่สุด ผ่อนออกช้าๆยาวๆพร้อมกับผ่อนคลายทั่วร่างกาย

     การผ่อนคลายร่างกายมีผลลดทอนความคิด เพราะความคิด โดยเฉพาะความคิดชนิดที่เรียกว่าอารมณ์หรือ emotion มันมีสองขา ขาหนึ่งเป็นเนื้อหาสาระของความคิด อีกขาหนึ่งเป็นอาการบนร่างกาย เราผ่อนคลายร่างกาย เนื้อหาสาระของความคิดก็ถูกตัดทอนให้ฝ่อหายไปด้วย

     ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า

     ถามตัวเองซิว่า

     “ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า”

     ถาม แล้วพยายามตอบให้ได้ ในการพยายามตอบ เราต้องดึงความสนใจออกมาจากความคิด มาอยู่กับอะไรที่ตรงหน้าเราที่นี่เดี๋ยวนี้ มารับรู้ว่าฉันกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ จึงจะตอบตัวเองได้ว่า “ฉันรู้ตัวอยู่” ถ้าเราไม่ถอยความสนใจออกมาจากความคิด เราก็ยังเผลอคิดเรื่องอดีตอนาคตที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ แปลว่าเราอยู่ในความคิด ไม่รู้ตัว ดังนั้นหากเราไม่ถอยความสนใจออกมาจากความคิด เราจะตอบคำถามนี้ไม่ได้

     ดังนั้นความรู้ตัวก็คือการที่เราตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ว่ากำลังอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ และไม่มีความคิด ย้ำอีกทีนะ ความรู้ตัวคือการที่เราตื่นอยู่รู้อยู่ว่ากำลังอยู่ที่นี่และไม่มีความคิด

     ใครเป็นผู้มองเห็น

     คราวนี้ เมื่อความคิดบางลงไปแล้ว ทุกคนถอยความสนใจออกมาจากความคิดได้มากแล้ว ให้ดึงความสนใจมาอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ลืมตาขึ้น กวาดตามองไปทั่วๆอย่างช้าๆ มองให้เห็นสิ่งต่างๆ แต่ไม่ต้องไปเรียกชื่อหรือคิดเรื่องราวประกอบ แค่มองให้เห็น ว่านั่นจอ นั่นโต๊ะ นั่นไวท์บอร์ด นั่นหน้าต่าง

     ถามตัวเองว่าใครเป็นคนมอง ใครเป็นคนถูกมอง ทุกคนก็ตอบได้ว่าฉันเป็นผู้มอง สิ่งต่างๆข้างนอกเป็นสิ่งที่ถูกมอง แต่มองให้ลึกซึ้งจะเห็นว่าภาพต่างๆที่เกิดขึ้นจากการมอง มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นในความรับรู้ของเรานะ หรือเรียกอีกอย่างว่าเกิดขึ้นในความรู้ตัวของเรา

     จะเห็นว่าในแง่ของภาพนี้ความรู้ตัวมันเป็นพื้นที่รับรู้ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตมากนะ เราสามารถรับรู้ได้ไกลถึงภูเขาโน่น ก้อนเมฆนู้น..น ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ที่ถูกรับรู้โดยความรู้ตัวทั้งสิ้น เรียกว่าโลกทั้งใบ หรือจักรวาลทั้งจักรวาล ก็ถูกรับรู้ในความรู้ตัวนี้ทั้งนั้น

    เอ้าคราวนี้ลองมองไปที่หน้าต่างทางขวามือของคุณ เห็นต้นไม้ใหญ่อยู่กลางทุ่งหญ้า คราวนี้หันมาทางซ้าย ภาพของต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งหญ้าหายไปแล้วเห็นไหม กลายเป็นสวนดอกไม้มีตุ๊กตาทองเหลืองอยู่กลางสวนแทน ภาพของต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งหญ้าดับไปแล้ว ภาพสวนดอกไม้เกิดมาแทน คือภาพที่เรารับรู้ในความรู้ตัวของเรา มันไม่ได้คงอยู่ตลอดเวลา มันเกิดขึ้น แล้วก็ดับหายไป

     คราวนี้ไม่ต้องหันซ้ายขวา มองตรงนิ่งๆนี่แหละ เห็นผมนั่งอยู่นี่ แต่สมมุติว่าเผอิญในใจคิดขึ้นได้ว่าแฟนสั่งว่าก่อนมาเรียนให้เอาคำถามที่จดไว้มาถามหมอสันต์ด้วยแต่ดันดันลืมเอากระดาษจดนั้นมา ก็ตกใจ สะดุ้งเห็นภาพของแฟนแว้ดๆขึ้นมาแทน ภาพของหมอสันต์ไม่เห็นเสียแล้วทั้งๆที่ตาจ้องมาทางนี้ แต่เป็นการจ้องแบบเหม่อๆ ภาพของหมอสันต์ดับไปแล้ว ภาพของแฟนเกิดขึ้นมาแทน นี่ การเกิดขึ้นและดับไปของภาพที่เรารับรู้ได้มันเป็นอย่างนี้ ของจริงข้างนอกเป็นอย่างไรไม่สำคัญและไม่เกี่ยว สำคัญและเกี่ยวเฉพาะที่เรารับเอามาได้เท่านั้น เพราะเราเห็นมันแค่เท่าที่เรารับเอามาได้ ไม่ใช่เห็นทุกอย่างตามที่เราคิดว่ามันเป็นจริงที่ข้างนอก

     ความคิดเรื่องแฟนแว้ดๆนี่มันเกิดเป็นภาพ ดังนั้นความคิดก็เป็นเช่นเดียวกับภาพ เกิดขึ้นและดับไปในความรู้ตัวนี้เช่นเดียวกัน บางทีความคิดมันไม่ได้เกิดเป็นภาพ มันเกิดเป็นเรื่องราวในภาษา แต่มันก็เกิดและดับไปในความรู้ตัวนี่แหละ

     อีกประเด็นหนึ่ง สังเกตนะว่า ภาพทุกภาพที่เราเห็น ความคิดทุกความคิดที่เกิดในใจ ล้วนเป็นเพียงประสบการณ์ที่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ในความรู้ตัว ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เท่านั้น ไม่มีที่อื่น ไม่มีเวลาอื่น จริงๆแล้วก็คือไม่เกี่ยวกับเวลาเลย

     เสียงทุกเสียงเกิดและดับในความเงียบ

     คราวนี้ให้ทุกคนหลับตาพริ้มลง หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ผ่อนคลาย relax ตั้งใจฟังเสียง มีเสียงอะไรให้ได้ยินบ้าง เสียงผมพูด เสียงแอร์ เสียงนกดังมากจากทางขวา เสียงไก่ขันไกลๆ เสียงรถเบามากอยูไกลออกไป เสียงเปียโนแว่วมาจากโบสถ์ที่ฝั่งตรงข้ามหุบเขา เสียงเหล่านี้เรารับรู้ว่ามันเกิดขึ้นในความรู้ตัวของเรา ในแง่ของเสียงนี้เสมือนว่าความรู้ตัวมันเป็นความเงียบอันกว้างใหญ่ ที่เสียงทุกเสียงล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไปในความรู้ตัวที่เป็นความเงียบนี้

     ใครเป็นคนได้ยินเสียง

     ก็ฉันอีกนั่นแหละที่เป็นผู้ได้ยินเสียง จะมีใครที่ไหนอื่นอีกละ

     เช่นเดียวกัน สังเกตนะ ว่าเสียงทุกเสียงก็เป็นเพียงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในความรู้ตัวของเรา ถ้าเราไม่รู้ตัว เช่นเราเหม่อไปคิดเรื่องอื่น ไปอยู่ในความคิด เราก็ไม่ได้ยินเสียง เราก็จะไม่ได้ประสบการณ์นั้น ทั้งๆที่เสียงเขาก็ดังของเขาอยู่

     ร่างกายนี้ก็เป็นเพียงประสบการณ์ในความรู้ตัว

     คราวนี้ให้เอาความสนใจมาจดจ่อที่ความรู้สึกบนร่างกายบ้าง รับรู้ความรู้สึกอะไรก็ได้ การหายใจเข้าออก หน้าอกกระเพื่อม ความรู้สึกเย็นจากไอแอร์มากระทบผิวหนัง ความรู้สึกเจ็บ ปวด เมื่อย คนที่เรียนเรื่อง body scan มาแล้วก็อาจจะรับรู้ความรู้สึกวูบวาบ ซู่ซ่า เหน็บๆชาๆ จิ๊ดๆจ๊าดๆบนผิวหนังที่ฝ่ามือบ้าง ฝ่าเท้าบ้าง ที่ส่วนอื่นๆของร่างกายบ้าง ทั้งนี้ให้รับรู้ รับรู้เฉยๆ ไม่ต้องตีความ

     เรารับรู้การมีอยู่ของร่างกายนี้ในรูปของความรู้สึกบนร่างกาย ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการรับรู้ที่ในใจหรือในความรู้ตัวของเรา

     ดังนั้นร่างกายนี้ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงประสบการณ์ด้านการสัมผัสหรือรู้สึก ที่เรารับรู้ในความรู้ตัวของเราเท่านั้น คือที่เราเรียกว่าร่างกายนี้ก็เป็นแค่ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ปรากฎขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ในความรู้ตัวของเราเช่นเดียวกันกับภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจ

     ฉันคือใคร ฉันคืออะไร

     คราวนี้ให้ตั้งคำถามตัวเองว่าฉันคือใคร หรือฉันคืออะไร แค่ตั้งคำถามโยนทิ้งไว้เฉยๆ ยังไม่ต้องตอบก็ได้

     แล้วก็พูดในใจชัดๆว่า

     “ฉันชื่อนาย นางสาว…. ถ้าเป็นผมก็จะพูดในใจว่าฉันชื่อนายสันต์”

     เป็นการเตือนตัวเองก่อนว่าเราเป็นบุคคลที่มีชื่อเรียกอย่างนี้

     คราวนี้ให้คิดทบทวนอดีต ให้เห็นภาพเรื่องราวของนายสันต์หรือของนายนางสาวอะไรก็ตามที่เป็นตัวตนหรือเป็นความเป็นบุคคลของคุณ ทบทวนไปทีละฉาก ทีละฉาก

     ฉากที่หนึ่งเอาตอนเรียนชั้นประถมก็ได้ นึกเห็นภาพตัวเองเป็นเด็กชายเด็กหญิง วิ่งเล่น ไปโรงเรียน

     ฉากที่สอง เอาตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว เรียนมหาลัย นึกเห็นเรื่องราว เอาตอนจีบกันกับแฟนก็ได้

     แล้วก็มาฉากที่สาม เอาตอนจบมา เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำงาน ต่อสู้ฟันฝ่า ท่องเที่ยว ใช้ชีวิต

     ทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวของบุคคลที่ชื่อนายสันต์หรือนาย.. นางสาว… อะไรก็ตาม การที่เราผูกโยงเรื่องราวของเราขึ้นมาเป็นประวัติชีวิตนี้เรียกว่า “สำนึกว่าเป็นบุคคล” ว่าตัวผมนี้ชื่อนายสันต์ เป็นคนมีการศึกษาอย่างนี้ มีรถยี่ห้อนี้ มีบ้านหลังอย่างนี้ เป็นคนมีความเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เรียกว่าสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือจะเรียกว่า “อีโก้” ก็ได้ หรือจะเรียกว่าการที่เรา “สำคัญมั่นหมาย” ว่าเราเป็นใคร หรือจะเรียกว่า “identity” ของเราก็ได้

     สังเกตนะว่าสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity ของเรานี้แท้จริงก็เป็นแค่ชุดของความคิด ซึ่งเป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาและดับหายไปในความรู้ตัวของเรา ดังนั้นอีโก้ของเรามันไม่เหมือนเดิมทุกวันดอกนะ เพราะมันเป็นแค่ความคิดที่เราคิดทบทวนขึ้นมา มันย่อมมีผีเข้าผีออกไม่เท่ากันในแต่ละวัน

     ความรู้ตัวคือห้องอันกว้างใหญ่

     จะเห็นว่าความรู้ตัวนี้เปรียบไปก็เหมือนห้องอันกว้างใหญ่เช่นห้องนี้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ไวท์บอร์ด จอหนัง แจกันดอกไม้ ล้วนอยู่ในห้องนี้ ความรู้ตัวก็เป็นเสมือนห้องกว้างใหญ่ที่ประสบการณ์เกี่ยวกับภาพก็ดี เสียงก็ดี ความคิดก็ดี ร่างกายก็ดี สำนึกว่าเป็นบุคคลของเราก็ดี ล้วนเกิดดับ เกิดดับ อยู่ในความรู้ตัวนี้ ความรู้ตัวนี้มันเป็นแค่ความว่าง แต่มันมีความตื่นอยู่ และสามารถรับรู้ได้ โดยไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวดองใดๆกับสิ่งที่มันรับรู้ นั่นหมายความว่าความรู้ตัวไม่ได้ดองอะไรกับสำนึกว่าเป็นบุคคลของเรา

     ฉันเป็นความรู้ตัว

     กลับมาตอบคำถามว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นอะไร

     ฉันเป็นร่างกายนี้หรือเปล่า..ไม่ใช่ เพราะร่างกายเป็นแค่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในความรู้ตัวเท่านั้น ร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงเรื่อยมา จากเด็กหนุ่มสาวเป็นผู้ใหญ่เป็นคนแก่ แต่ความรู้ตัวดำรงอยู่อย่างมั่นคง ยังไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันก็คือฉันคนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นฉันไม่ใช่ร่างกาย

     ฉันเป็นความคิดหรือเปล่า..ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ความคิด เพราะความคิดเกิดแล้วดับในความรู้ตัว มาแล้วก็ไป แต่ฉันไม่เคยดับ ไม่เคยมาไม่เคยไป เพราะฉันเป็นฉันอยู่ตลอดมา

     ฉันเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลที่ชื่อนายสันต์หรือนายนางสาวอะไรก็ตามนี้หรือเปล่า..ไม่ใช่ เพราะสำนึกว่าเป็นบุคคล หรืออีโก้ หรือ identity ของความเป็นนายสันต์นี้ เป็นเพียงชุดของความคิดที่เกิดดับอยู่ในความรู้ตัวนี้ แบบผีเข้าผีออก มาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็มาแรง เดียวก็มาแบบแผ่วๆ แต่ความรู้ตัวอยู่ที่นี่ตลอด ไม่เคยมา ไม่เคยไป

     ดังนั้นฉันที่แท้จริงคือความรู้ตัว ฉันที่แท้จริงเป็นความรู้ตัว ซึ่งจับต้องมองเห็นไม่ได้ แต่เป็นเสมือนความว่างกว้างใหญ่ที่ตื่นอยู่และมีความสามารถพร้อมรับรู้ทุกอย่างได้โดยไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับสิ่งที่รับรู้นั้นไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ความคิด หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลก็ตาม

     มารู้จักกับความรู้ตัว

     คราวนี้ผมจะพาลงลึกเข้าไปอีกหน่อย ให้ทุกคนหลับตา ถอยความสนใจออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดๆดับๆในความรู้ตัวเสียให้หมด ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง ความคิด ความรู้สึกบนร่างกาย หรือสำนึกว่าเป็นบุคคล ถอยความสนใจออกมาจากสิ่งเหล่านั้นให้หมด สมมุติว่าห้องกว้างใหญ่นี้มันเป็นสิ่งมีชีวิต มันเกิดเลิกสนใจโต๊ะตั่งม้านั่งที่อยู่ในห้อง แต่หันมาสนใจตัวมันเองแทน มันพยายามที่จะตอบคำถามว่าความเป็น “ห้อง” ของมันนี้อยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่โต๊ะตั่งม้านั่งที่อยู่ในห้องหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ใช่ดอก ความเป็นห้องของมันอยู่ที่พื้นที่ว่างในห้องจากผนังถึงผนังจากพื้นถึงเพดานซึ่งเป็นที่ให้โต๊ะตั่งม้านั่งตั้งอยู่ได้ต่างหาก ที่คือความเป็นห้อง

     เช่นเดียวกัน ความเป็น “ความรู้ตัว” ก็ไม่ใช่ภาพ หรือเสียง หรือสัมผัสของร่างกาย หรือความคิด หรือสำนึกว่าเป็นบุคคล แต่เป็นความว่างที่เปิดให้ภาพก็ดี เสียงก็ดี สัมผัสของร่างกายก็ดี ความคิดก็ดี หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลก็ดี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปในความว่างนั้น โดยความรู้ตัวแค่รับรู้เฉยๆ ไม่ได้มีเอี่ยวหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น เมื่อไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับอะไร ความรู้ตัวจึงเป็นที่ที่สงบเย็น ไม่ต้องเร่าร้อนหรือมีลุ้นกับอะไรทั้งสิ้น ได้แต่มองเห็นอะไรเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

     คราวนี้ผมจะพาคุณจมลึกลงไป หรือสำรวจลึกลงไปในความรู้ตัวนะ ว่าความรู้ตัวซึ่งเป็นความว่างที่ตรงหน้าเรานี้ ลึกลงไปมันเป็นอย่างไร สำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีวาระซ่อนเร้นหรือลึกซึ้งอื่นใดทั้งสิ้น

     สำหรับคนที่คุ้นเคยกับมันตรา จะใช้มันตราพาไปก็ได้ สำหรับคนที่ไม่มีมันตราของตัวเอง จะใช้การเปล่งเสียงโอมแทนก็ได้ หายใจเข้าลึกๆ เปล่งเสียงโอมเบาๆยาวๆ ทำซ้ำหลายๆครั้ง ขณะเปล่งเสียงให้ผ่อนคลายร่างกายและรับรู้การสั่นสะเทือนที่เกิดจากเสียง เริ่มจากการสั่นสะเทือนของร่างกาย ไปถึงเนื้อของความว่างรอบตัว และที่ตรงหน้า สนใจลึกละเอียดลงไป แม้เมื่อหยุดเปล่งเสียง แค่พูดเสียงนั้นในใจ การสั่นสะเทือนบนเนื้อที่ละเอียดของความว่างนี้ก็ยังอยู่ แม้หยุดหรือทิ้งมันตราไปแล้ว หากเอาความสนใจจดจ่อลึกลงไป ลึกลงไป ในเนื้อของความว่างนี้ ก็จะเห็นว่าการสั่นสะเทือนเล็กๆนั้นก็ยังอยู่ แบบละเอียดยิ่งขึ้น ละเอียดยิ่งขึ้น ทำอย่างนี้ควบคู่ไปกับการผ่อนคลายร่างกายเป็นระยะๆ จนลมหายใจเริ่มสงบลง บางครั้งสงบจนไม่มีลมหายใจก็ไม่เป็นไร แต่เรายังตื่นอยู่ ยังรับรู้ได้ และสงบเย็นดี ตรงนี้แหละคือความรู้ตัวในระดับที่ลึกลงไป ฝึกทำอย่างนี้ แสวงหาสิ่งใหม่ในความรู้ตัวที่ลึกลงไป ลึกลงไปไม่สิ้นสุด ก็จะได้พบกับความกว้างใหญ่ของชีวิตจริงที่ข้างใน กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น ซึ่งล้วนอยู่เหนือความคิดและสำนึกว่าเป็นบุคคล 

     ตรงนี้แหละคือความสงบเย็น การจะแสวงหาความสงบเย็นหรือความสุขไว้เป็นฐานที่มั่นของชีวิต จึงไม่ใช่การไปเสาะหาที่ข้างนอกด้วยเข้าใจผิดว่าหากต่อสู้ปกป้องหรือฟูมฟักสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity ของเราให้ดีแล้วความเป็นบุคคลนี้จะปลอดภัยและสงบเย็นซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้ เพราะสำนึกว่าเป็นบุคคลเป็นเพียงความคิดมันจะเสถียรหรืออยู่ยั้งยืนยงให้ยึดถือพึ่งพิงได้อย่างไร การกลับเข้าไปข้างในเพื่อไปเป็นความรู้ตัวต่างหากจึงจะพบความสงบเย็นอย่างสถาพร กลับเข้าไปเมื่อไหร่ก็พบความสงบเย็นเมื่อนั้น เพราะความรู้ตัวเป็นสิ่งที่คงอยู่เหนือกาลเวลา ไม่ต้องกลัวตาย เพราะความรู้ตัวไม่มีเกิด ไม่มีตาย มีแต่ร่างกายเท่านั้นที่เกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาในความรู้ตัว และตายไปในความรู้ตัวนี้ ส่วนความรู้ตัวนี้คงอยู่ที่นี่เสมอ ถ้าปักหลักเอาตรงนี้เป็นฐานที่มั่นของชีวิตได้ ชีวิตก็จะมีความสงบเย็นเป็นพื้นฐาน ไม่ต้องไปดิ้นรนเสาะหาความสุขในที่อื่น การใช้ชีวิตก็จะเป็นแค่การออกไปทำอะไรเพื่อโลกหรือเพื่อชีวิตอื่นอย่างสร้างสรรค์โดยอัตโนมัติ เพราะ “ฉัน” สงบเย็นดีแล้ว ไม่ต้องเสาะหาอะไรมาให้ “ฉัน” อีกแล้ว ชีวิตนี้จึงมีอยู่เพื่อโลกหรือเพื่อชีวิตอื่นเท่านั้น

     การมีชีวิตแบบสงบเย็นอยู่ในความรู้ตัว อยู่เหนือความคิด อยู่เหนือสำนึกว่าเป็นบุคคล ใช้ชีวิตในวันนี้ไปในทิศทางเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้โลก ให้ชีวิตอื่น นี่แหละคือความหลุดพ้น..หลุดพ้นจากการจองจำของความคิดซึ่งล้วนเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาจากสำนึกว่าเป็นบุคคลที่เราหลงติดกับดักอยู่ในนั้นตั้งนาน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์