Latest

ุถามเรื่องเวทนา (Feeling)

ฝากถามคุณหมอสันต์

ดิฉันฝึกวิปัสนากรรมฐานมานานราวยี่สิบปี พยายามเสาะหาไปหลายอาจารย์ สิบปีหลังนี้มายึดแนวสติปัฐฐานสี่ คือกายานุสติปัฐฐาน เวทนานุสติปัฐฐาน จิตตานุสติปัฐฐาน และธรรมานุสติปัฐฐาน แต่ยังรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน ยิ่งฝึกไปก็ยิ่งสงสัยนิยามของศัพท์ต่างๆ แต่จะรบกวนคุณหมอสันต์คำเดียว คือเวทนานุสติปัฐฐานว่าจริงๆแล้วมันต่างจากกายานุสติปัฐฐานตรงไหน ถ้าบอกว่าเวทนาเป็นความรู้สึกทางกาย ก็คือกายานุ.. ไม่ใช่หรือ ถ้าบอกว่าเวทนาเป็นความรู้สึกทางใจ ก็คือจิตตานุ..ไม่ใช่หรือ แล้วในทางปฏิบัติจะฝึกอย่างเดียวคือกายาโดยไม่ต้องยุ่งกับเวทนาได้ไหม เพราะไม่รู้จักจริงๆว่าเวทนาคืออะไร

ขอบพระคุณค่ะ

………………………………………………………………………

ตอบครับ

ถามมาผิดที่เสียแล้วมังครับคุณเจ้าขา ผมชอบตอบคำถามเรื่องจิตวิญญาณ (spiritual) ก็จริง แต่ไม่รับนิยามศัพท์ที่สอนกันในศาสนาต่างๆนะครับ เพราะผมเป็นพวก spirituality but not religious หมายความว่าอาจเป็นคนมีชื่อตามทะเบียนว่านับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งก็จริง แต่จริงๆแล้วไม่ได้เป็นตุเป็นตะกับศาสนาไหนทั้งสิ้น ดังนั้นผมนิยามศัพท์ให้คุณไม่ได้หรอกครับ เพราะที่คุณถามมามันเป็นศัพท์ที่สอนกันในศาสนาพุทธ แล้วผมจะไปรู้ความตั้งใจของผู้เขียนศัพท์ตัวนี้ไว้ในพระไตรปิฎกได้อย่างไร ขออำไพจริงๆ

แต่ไหนๆคุณถามมาแล้วผมตอบให้คุณแบบไม่ตรงคำถามก็แล้วกันนะ เพราะที่คุณถามมาผมไม่รู้ ผมจะตอบให้แต่สิ่งที่ผมรู้

ผมรู้ว่าอะไรบ้างที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตนี้ ในการสื่อความหมายศาสนาต่างๆมักแยกองค์ประกอบของชีวิตออกมาให้เห็นเป็นส่วนๆหรือเป็นชั้นๆ เป็นสามชั้นบ้าง สี่ชั้นบ้าง ห้าชั้นบ้าง เจ็ดชั้นบ้าง สุดแล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนแจกแจง เพื่อความง่ายในการไขข้อข้องใจของคุณ ผมแจงให้เห็นว่าชีวิตนี้มีสี่ชั้นก็แล้วกัน เรียกว่าเป็นการแบ่งแบบหมอสันต์ คือ

  1. ร่างกาย (Body) ที่เป็นเนื้อตันๆ เห็นๆอยู่นี่
  2. พลังชีวิต (Life energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่พยุงและขับเคลื่อนร่างกายนี้ให้ทำงานได้
  3. ความคิด (Thought) ซึ่งผมหมายความรวมหมดตั้งแต่ความจำ ความคิด อารมณ์ รวมทั้งคอนเซ็พท์ที่ว่าตัวตนของเรานี้เป็นใครชื่อไรสำคัญแค่ไหนผมก็เหมาว่าเป็นความคิดทั้งสิ้น
  4. ความรู้ตัว (Consciousness) ซึ่งเป็นแค่ความตื่นและความสามารถรับรู้ ไม่มีคอนเซ็พท์หรือผลประโยชน์ใดๆ ตรงนี้ผมถือว่าเป็นชั้นในสุด และจากประสบการณ์ของผม ชั้นนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ผมจำความได้จนแก่ปูนนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ดังนี้ผมถือว่าชั้นนี้เป็นชั้นที่ถาวรที่สุดของชีวิต ขณะที่สามชั้นแรกนั้นไม่ถาวร หิ หิ ย้ำ นี่เป็นคอนเซ็พท์ทางจิตวิญญาณของหมอสันต์คนเดียวนะ ไม่ใช่คำสอนของศาสนาใด อย่าสับสน เพราะคำสอนที่สอนกันมาในศาสนาอาจบอกว่าใดๆที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตนี้ต่อยย่อยออกไปแล้วไม่มีอะไรถาวร บ๋อแบ๋ แต่หมอสันต์กำลังบอกว่าชีวิตมีชั้นที่ถาวรอยู่คือชั้นความรู้ตัวนี่ไง มันเป็นเรื่องของคนละคนพูดกันคนละอย่าง คุณใช้ดุลพินิจในการรับฟังเอาเอง อย่าเอามาปะปนกัน เพราะเดี๋ยวคุณจะงง

คุณถามว่าเวทนาคืออะไร คำสอนในศาสนาพุทธจะสอนว่าคืออะไรหรือหมายถึงอะไรนั่นเป็นเรื่องหนึ่งนะซึ่งผมไม่ได้ศึกษาว่ารากศัพท์มาจากไหนอย่างลึกซึ้ง แต่หากเอาคำของคุณมาเทียบกับชั้นหรือองค์ประกอบของร่างกายสี่ชั้นตามสไตล์ของผมแล้ว เวทนา (feeling) ของคุณน่าจะหมายถึงความรู้สึกจิ๊ดๆจ๊าดๆ ซู่ๆซ่าๆ วูบๆวาบๆ บนร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งสื่อถึงหรือสะท้อนถึงพลังชีวิต (life energy)

เมื่อคุณวางความสนใจไว้ที่พลังชีวิต (life energy) จึงย่อมจะไม่เหมือนการวางความสนใจไว้ที่การเคลื่อนไหวร่างกาย (body movement) ถูกแมะ

แต่ผมว่าหากคุณสนใจพลังชีวิต การพยายามนิยามศัพท์ไม่จำเป็น เพราะในพลังชีวิต ภาษาไม่มี มีแค่คลื่นความสั่นสะเทือน ร่างกายนี้เป็นมวลสาร (substance) ซึ่งคุณจับต้องมองเห็นได้ พูดง่ายๆว่ามันเป็นชั้นหยาบ แต่พลังชีวิตนั้นเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่คุณจับต้องมองเห็นไม่ได้ อย่างดีก็ได้แต่ feel หรือรู้สึกเอาจากความรู้สึกจิ๊ดๆจ๊าดๆ ซู่ๆซ่าๆ วูบๆวาบๆ บนร่างกาย พูดง่ายๆว่ามันเป็นชั้นละเอียดกว่า ดังนั้นถ้าคุณอยู่กับพลังชีวิตเป็น บางโมเมนต์คุณลืมร่างกายไปได้เลย คือเหมือนไม่มีร่างกาย โดยที่คุณก็ยังตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ แต่ไม่มีความคิด ไม่มีร่างกาย มันหนุกมากนะ มันเป็นการเปิดโลกทัศน์ที่นอกเหนือไปจากอายตนะทั้งห้า หมายความว่ามันเกิดการรับรู้สิ่งใหม่ๆโดยไม่ต้องอาศัยตาหูจมูกลิ้นผิวหนังได้ด้วย ดังนั้นพลังชีวิตหรือ life energy นี้เป็นสะพานอย่างดีที่จะทอดให้คุณเข้าถึงความรู้ตัวซึ่งเป็นชั้นที่ละเอียดและถาวรของชีวิต ซึ่งเมื่อเข้าถึงแล้ว มันจะช่วยให้ชีวิตคุณสงบเย็นและสร้างสรรค์ดีมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์