Latest

เรื่องไร้สาระ (31) “วิ่งดูดนม RUN”

(ภาพวันนี้: ดอกติ๊วที่หน้าบ้าน สวยระดับเดียวกับซากุระ)

วันนี้ ปลายฤดูหนาว หมอสันต์รวบรวมสมัครพรรคพวก สว. ได้ประมาณ 2 ลำรถเก๋ง พากันไป “วิ่งดูดนม RUN” ซึ่งเขาจัดขึ้นที่ฟาร์มโคนมไทยเดนมาร์ค เป็นกิจกรรมที่ผมมักจะพูดเสียงดังด้วยความภูมิใจว่า “ผมจะไปวิ่งมาราธอน” แต่พอคนถามว่าอาจารย์วิ่งกี่กิโล ผมก็ลดเสียงลงเบาๆ ตอบว่า

“..สามกิโล”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

เรามาถึงหกโมงเช้า ยังมืดมองกันไม่เห็นอยู่เลย อากาศเย็นออกไปทางหนาว เขาปล่อยตัวรุ่นพี่ๆ คือพวกวิ่ง 21 กิโลบ้าง 10 กิโลบ้าง ไปก่อนแล้ว เหลือแต่พวกเด็กๆที่จะต้องวิ่งแค่ 5 กิโลและ 3 กิโล กำลังถูกจัดให้เข้าประจำที่ มีครูออกกำลังกายรูปหล่อล่ำสันขึ้นเวทีนำการวอร์มอัพ คนเยอะมากจนหายใจไม่ถนัด แล้วเขาก็ยิงปืนปล่อยตัวออกวิ่งไปตามถนนมืดๆที่ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มอมชมพู คนมาวิ่งกันเยอะเสียจนหากคิดจะถ่ายรูปต้องรอให้ขบวนวิ่งยาวเป็นกิโลเมตรให้ผ่านไปก่อนจะได้ไม่ถูกคนวิ่งมาชนเอา

ที่เป็นไกรทองแบกชาละวันวิ่งก็มี

วิ่งไป สังเกตไปก็พบว่าคนที่มาวิ่งช่างมีแตกต่างหลากหลาย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนมาวิ่งเยอะขนาดนี้ ทุกคนมีสีหน้าแจ่มใสเบิกบาน บางครอบครัวต้องควักตัวเล็กตัวน้อยออกมาทั้งๆที่ยังไม่ตื่นดี บ้างมาวิ่งเป็นหมู่คณะ เอาลูกโป่งสวรรค์มัดติดหลังเสื้อให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันวิ่งด้วยกันเป็นกลุ่มๆ บางครอบครัวแต่งตัวเป็นวัวนมพันธุ์ขาวดำโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยนทั้งพ่อแม่ลูก ที่พากันแต่งตัวเป็นเสือก็มี ที่เป็นไกรทองเสื้อแดงแจ๊ดแบกจรเข้ชาละวันวิ่งก็มี บ้างมาวิ่งโดยมีรถเข็นด้วย มองเข้าไปในรถเข็นบางคันก็เป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยน่ารัก คนเดียวบ้าง แฝดบ้าง หลายคันเป็นน้องหมาหน้าตาบ๊องแบ๊ว มีอยู่คันหนึ่งเป็นคุณตาที่เข้าใจว่าเป็นอัมพาตนั่งอยู่ในล้อเข็นให้ลูกหลานผลัดกันรุน ดูสีหน้าของคุณตาจะชอบวิธีวิ่งแบบนี้มากเป็นพิเศษเพราะสามารถเหลียวไปมาสำรวจทิวทัศน์ระดับสายตาที่น่าตื่นเต้นรอบๆตัวได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะเผลอวิ่งสะดุดอะไร

เส้นทางวิ่งเริ่มต้นเป็นต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง มีขึ้นมีลงตามประสามวกเหล็กซึ่งเป็นเมืองบนภูเขา แล้วก็วิ่งมาถึงคอกวัวออริจินอลของฟาร์มโคนมสร้างให้โดยรัฐบาลเดนมาร์คซึ่งพระเจ้าอยู่หัวร.9 เคยมาเปิด เห็นตัวเลขเหนือป้ายจั่วสีแดงไว้ว่า 1962 ก็คือ 60 ปีมาแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงขึ้นเนินชันทำให้นักวิ่งต้องเปลี่ยนเป็นเดินโดยอัตโมมัติ มองเข้าไปในโรงนมยังเห็นคนทำงานกำลังติดหัวรีดนมให้กับวัวนมพันธ์ขาวดำซึ่งยืนเข้าแถวเคี้ยวเอื้องอยู่นิ่งๆอย่างคุ้นเคย พวกเธอไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นกับพวกนักวิ่งที่วิ่งหอบแฮ่กๆผ่านไปแต่อย่างใด

เธอได้รับโล่ห์วัวทองสายสีเขียว แสดงว่าวิ่ง 5 กิโล เป็นรุ่นพี่ของหมอสันต์ที่วิ่ง 3 กิโล

เส้นทางพาขึ้นเขาลงเขามาผ่านบึงน้ำที่มองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขากำลังสวยงามเชียว โค้งสุดท้ายนี้เป็นเนินชัน ผมต้องบังคับตัวเองให้วิ่งไม่ให้เดินเพราะเขาใช้ให้มาวิ่งไม่ใช่ให้มาเดิน ในที่สุดก็เข็นตัวเองให้เข้าเส้นชัยได้ มีสิทธิ์ไปรับเหรียญวัวทองสายสีน้ำตาลซึ่งเป็นศักดิ์ชั้นของผู้สำเร็จการวิ่ง 3 กม. ช่างน่าภาคภูมิใจซะ

ขณะกำลังหอบเหนื่อยอยู่นั้นตาก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่ที่มาถึงก่อนแล้วยืนแลบลิ้นหอบสี่ขาอยู่ใกล้ๆ เหลือบไปเห็นป้ายลงทะเบียนที่อยู่บนอานคาวบอยที่ขี่หลังเธออยู่แสดงว่าเธอเป็นนักวิ่งที่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้นคือสายของโล่ห์วัวทองที่เธอได้รับมานั้นมันเป็นสายสีเขียว บ่งบอกศักดิ์ชั้นว่าเธอเพิ่งสำเร็จการวิ่ง 5 กม. มา เธอถูกปล่อยตัวพร้อมกับผมซึ่งวิ่ง 3 กม. แต่เข้าเส้นชัยก่อนผม เอ๊ะ นี่หมายความว่าไง แหะ แหะ

จบการวิ่งเราเอาคูปองไปแลกอาหารเครื่องดื่ม มีคูปองให้คนละสามใบ มองหาอาหารที่เหมาะกับคนเป็นโรคหัวใจ นั่นเนื้อหมูผัดสิ้นคิดราดข้าว ดูมันย่องเชียว ไม่เหมาะแน่ นั่นก๋วยเตี๋ยวน้ำร้อนๆ ดูคนเข้าคิวยาวเกิน เอาข้าวไข่เจียวก็แล้วกัน เขาทอดไข่เจียวได้แห้งน่ากิน จากนั้นก็ไปหาเครื่องดื่ม เครื่องดื่มดีที่สุดคือน้ำเปล่านั้นให้ฟรีไม่ต้องใช้คูปอง จึงแลกเอานมโยเกิร์ตรสหวานปะแล่มมาหนึ่งขวด คูปองเหลืออยู่อีกใบหนึ่งไม่รู้จะแลกเอาอะไร เพราะมีแต่เครื่องดื่มใส่น้ำตาล ขนมเค้กคุ้กกี้หวานเจี๊ยบสไตล์มวกเหล็ก ไอติมและขนมหวานใส่น้ำแข็งไสราดน้ำแดงเฮลซ์ บลู บอย ที่ดูจากคิวแสดงว่าป๊อปปูล่ามากแต่เดาระดับความหวานได้ สรุปว่าคูปองอีกใบไม่รู้จะแลกอะไรเพราะไม่กล้ากินน้ำตาลมากกลัวสมองที่เสื่อมเกือบได้ที่แล้วจะเสื่อมหนักลงไปอีก จึงบริจาคคูปองให้เพื่อนสว.อีกท่านหนึ่งที่ยังสมองดีอยู่ให้ไปรับเคราะห์กรรมแทน หิ หิ

อิ่มดีแล้วเราเดินกลับไปขึ้นรถ เดินผ่านคอกม้า จึงแวะเข้าไปดูม้าและคาวบอยซึ่งกำลังสาละวนเตรียมม้าไว้รอรับเด็กๆที่จะมาขี่ม้าตอนสายๆ คุยกับคาวบอยสองสามคำ ขอบคุณเขาที่ให้ถ่ายรูป แล้วพากันกลับมาขึ้นรถกลับมวกเหล็กวาลเลย์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์