Latest

มะเร็งระยะที่สี่ ลามไปจนถึงศิวราตรี

กราบคุณหมอสันต์และคุณหมอสมวงศ์ค่ะ

Update การรักษาค่ะ มีหลายเรื่องราวในระหว่างที่ได้รับเคมีรอบ 1

1. หลังกลับจากการรับเคมีรอบที่ 1 (ออก 23 มี.ค.)ได้ 2 วัน ปัสสาวะไม่ออก  ตั้งสมมติฐานไว้มากมาย…. เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไตวาย กินน้ำน้อยไป ก้อนมะเร็งที่กระดูกกดทับทางเดินปัสสาวะ ฯลฯ เลยไป รพ. … (ใกล้บ้าน)

    – ตรวจปัสสาวะ (ไม่ได้ส่งเพาะเชื้อ) bacteria ได้ few

    – เช็คการทำงานของไต BUN สูง 26 mg/dl น่าจะกินโปรตีนมากไปหน่อย Creatinine .67 eGFR 99

    – เช็ค CBC เม็ดเลือดขาวได้ 8,080 cell/mm3 

หมอบอกว่าอาจติดเชื้อแต่ยังขึ้นไม่มากเลยให้ยาปฏิชีวนะมากินกันไว้แต่จุ๊ไม่ได้กิน เพราะเห็นค่าเม็ดเลือดขาวยังดีน่าจะไม่ติดเชื้อ และเห็นไตยังดีเลยลองดื่มน้ำเพิ่มขึ้นมากจากเดิมที่เดิมก็ดื่มมากๆๆๆๆอยู่แล้ว ผ่านไปครึ่งวันก็ปัสสาวะได้ดีขึ้น และก็ปัสสวะได้ปรกติในที่สุด จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเป็ยอะไรกันแน่

2.ความดัน และอัตราการเต้นของหัวใจ swing มากจากเดิมออกไปทางต่ำๆ 100+- / 60+- อัตราการเต้นหัวใจก็ 50-60 ตลอดมา ตอนนี้ บางครั้งความดันโดยเฉพาะตัวบน swing ระหว่าง 90-160+- ตัวล่างขึ้นไม่มาก 50-70+- และอัตราการเต้นหัวใจ บางครั้งขึ้นไป 100+

3. มีอาการเพลีย อยากอาเจียน ไม่อยากอาหาร ในระยะสัปดาห์แรกหลังออกจาก รพ. แต่ก็พยายามกิน ในสัปดาห์แรกยังกินไข่ขาวเป็นโปรตีนหลัก โปรตีนพืชเสริม แต่ตอนนี้ตัดโปรตีนสัตว์เด็ดขาดไข่ขาวก็ไม่กิน น้ำหนักขึ้น 1 กก. (ชั่งวันรับเคมีครั้ง 2 เปรียบกับวันรับเคมีครั้ง 1) 

4. เดินออกกำลังกายตอนเย็นเกือบทุกวันวันละ 30 นาที (ถ้า pm 2.5 ไม่หนักหน่วงมาก) เดินบนพื้นหญ้าเพื่อลดแรงกระแทกกระดูก แต่วันที่ 6 เม.ย.เดินไป 60 นาที ตกกลางคืนปวดกระดูกสะโพกที่เป็นมะเร็งกระดูกจุดใหญ่ เลยงดโปรตีนสัตว์เด็ดขาดเลิกกินไข่กินแต่ถั่ว seeds (ยกเว้นงาไม่กิน) nuts ผักผลไม้ เสริม Peaโปรตีน และลดออกกำลังกายเหลือ 30 นาที ก็ไม่เคยปวดอีก

5. วันที่ 5 เม.ย. ตรวจเลือดเพื่อให้เคมีรอบ 2 แต่ผลเลือดปริ่มๆ เม็ดเลือดขาว 3.7 จากก่อนให้ 8.81 หมอเลยยังไม่นัดให้รอบ 2 เพราะไม่แน่ใจว่าผลเลือดเป็นขาลงหรือขาขึ้น นัดใหม่วันที่ 11 เม.ย. ผลเลือดดีขึ้นเม็ดเลือดขาว 4.51 แต่เลือดแดงยังเท่าเดิมไม่ลดไม่เพิ่ม เกล็ดเลือด ลดลงจาก 359 เป็น 160 แต่ยังอยู่ใน range ปรกติ น้ำหนักเพิ่ม 1 กก. จากก่อนให้เคมีครั้งแรก หมอเลยนัดให้เคมีรอบ 2 ในวันที่ 12 เม.ย. ตอนนี้นอนรับเคมีอยู่ รพ. รับสูตรเดิม คือ Cisplatin+ 5FU จะออกวันที่ 18 นี้ค่ะ

6.หนูแจ้งเรื่องปวดกระดูกที่เล่าในข้อ 4 คุณหมอเลยนัดฉายแสงโดยหมออายุรกรรมเคมี อยากให้เคมีครบคอร์สคือ 4 ครั้งแล้วตรวจผลการตอบสนองเคมีก่อนแล้วค่อยฉายแสง โดยให้ฉีดยา Zoledronic acid ไปก่อน……แต่หมอรังสีอยากให้ฉายเลยหลังการรับเคมีรอบ 2 โดยนัดทำ CT และจำลองการฉาย วันที่ 3 พ.ค. หัวหน้าพยาบาลแผนกรังสีแจ้งว่าเดี๋ยวประสานงานให้หมอทั้ง 2 คนปรึกษากันก่อน หาข้อสรุปได้ว่าอย่างไรจะแจ้งหลังหยุดสงกรานต์ยาวค่ะ

7.หนูกิน Beta glucan จากยีสต์ขนมปังยี่ห้อ transfer point กิน high dose เช้า 4 เม็ด ตามที่ brand แนะนำ ร่วมด้วย

8. สมองไม่สดใสเหมือนเดิม เหมือนเป็น brain fog ตลอดเวลา และขี้ลืมมากขึ้นด้วย

หนูจะรบกวนเรียนปรึกษาคุณหมอค่ะ

1. เคยอ่านในเพจคุณหมอว่าการฉีดยาลดอัตราการสลายกระดูก (ที่เคยอ่านคือเคสปรกติไม่ได้เป็นมะเร็ง และไม่ใช่ยาตัวนี้) ประโยชน์ที่ได้รับไม่มาก แต่ต้องฉีดตลอดไป และมีผลข้างเคียงในระยะยาวเช่นกรามตาย ฯลฯ ในกรณีของหนูที่เป็นมะเร็ง การรับยา Zoledronic acid เปรียบเทียบประโยชน์และผลข้างเคียงแล้วได้คุ้มเสียไหมคะ (เพราะหนูคิดว่าหนูจะยังไม่ตายไว อาจได้รับผลข้างเคียงระยะยาว…อิอิ)

2.ส่วนทางการฉายรังสี หมอรังสีจะฉายให้ในตำแหน่งที่ปวด แต่จะไม่ฉายให้ทุกข้อที่เป็นเพราะมีหลายข้อเก็บ bone marrow ไว้สร้างเลือดบ้าง หนูจะปรึกษาคุณหมอว่าในกรณีที่เคยปวดแค่ 2 ครั้ง (ครั้งแรกเคยเล่าคุณหมอไปก่อนหน้านี้ และครั้งที่ 2 ที่เล่าในเมลล์ฉบับนี้) ควรฉายรังสีไปเลยหลังการรับเคมีครั้งที่ 2 หรือรอดูผลหลังเคมีครบคอร์สแล้วดูผลการตอบสนองก่อนค่อยตัดสินใจ หมอยังเห็นต่างคนไข้เลยสับสน 555

3.ตรวจ ไวรัส EBV ได้ 251,000++ สรุปว่าหนูเป็นมะเร็งจากเชื้อ EBV หมอบอกว่าไม่มีวิธีการรักษาที่เจาะจง ก็เข้าใจว่าเป็นไวรัสซึ่งไม่มียารักษา แต่หนูสงสัยว่าถ้าอย่างนั้นคนที่ได้รับเชื้อไวรัสตัวนี้ก็ต้องคอยลุ้นว่าจะปุ๊บปั๊บรับโชคหรือวืด…อย่างเดียวเลยเหรือคะ….

4.ข้อนี้ไม่อยากถามเป็นคำถามแต่ห้อยติ่งไว้ค่ะ เรื่อง Beta Glucan 1,3/1,6 (คุณหมอเคยแจ้งไว้ชัดเจนว่าไม่ตอบเรื่องอาหารเสริม แต่เผื่อคุณหมอมีข้อมูลเรื่องนี้ในคลังแสง อิอิ) ไม่รู้จะถามว่าอะไรดี แล้วแต่คุณหมอพิจารณาว่าจะตอบอย่างไรแล้วกันค่ะ 5555

ส่วนทางด้ายจิตใจ

1.ก่อนนอนหนูทำสมาธิโดยวิธีอานาปาณสติ มีอยู่วันหนึ่ง นอนไม่หลับ พอจะนอนมันจะเด้งมาเข้าสมาธิอัตโนมัติพยายามออกจากสมาธิเพื่อมานอนมันก็เด้งกลับเป็นสามธิตลอด จนต้องยอม ถ้าเจอเหตุการณ์นี้อีกหนูควรแก้ไขอย่างไรคะ

2.มีอยู่ 1 คืนระหว่างให้เคมีรอบ 1 หนูอยู่ในสมาธิ พยาบาลเข้ามาวัดความดัน ความดันต่ำมาก ตัวตัวบนหนูจำไม่ได้แต่ตัวล่างต่ำว่า 50 (น่าจะ 48 ถ้าจำไม่ผิด) และอัตราการเต้นหัวใจ 44 (จำแม่น) พยาบาลตกใจมาก ลดอัตราการให้ยาเคมี แล้วรีบไปแจ้งแพทย์ ผ่านไป 1 ชั่วโมงทั้งความดันและอัตราการเต้นหัวใจก็ดีขึ้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะปรับอัตราการให้ยาหรือว่าออกจากสมาธิ….เป็นไปได้ไหมคะว่าเกิดจากอยู่ในสมาธิเลยทำให้ทั้งความดันและอัตราการเต้นหัวใจต่ำ

3.ตอนกลางวันหนูพยายามเอาความรู้ตัวไว้ที่ลมหายใจ พอแว๊บไปคิดอะไรก็รับรู้แล้วเอาความรู้ตัวมาไว้ที่ลมหายใจเป็นฐานที่ตั้ง ตอนนี้รู้สึกว่าพอแว๊บไปคิดจะรู้ตัวไวขึ้นมากๆๆๆ แต่ก็มีบางครั้งที่เผลอคิดตามไปยาวๆ แต่ก็ไม่นานมากเหมือนเมื่อก่อน

4.ทางด้านจิตใจ เบาโล่งสบายมากขึ้น เรื่องของน้องก็วางได้มากขึ้นเยอะ จากเมื่อก่อนเป็นกังวลมากว่าถ้าหากหนูตายก่อนน้องใครจะดูแลและจะอยู่อย่างไร หนูก็ใช้วิธีนั่งคุยกับเขา ถามเขาว่าถ้าหนูตายก่อนเขาจะทำอย่างไรกับชีวิตเขา ให้เขาลองเขียนแผนมาให้หนูช่วยดู ก็ช่วยกันคิดวางแผน ก็ดูเขาจัดการชีวิตตัวเองได้ดีระดับหนึ่ง กลายเป็นหนูเองที่กังวลมากมายไปกว่าเหตุ

กราบคุณหมอด้วยความรักและเคารพอย่าสูงงงงง

……………………………………………………………..

ตอบครับ

1. ผมอยู่สนามบิน

2. Zoledronic acid ในกรณีมีการสลายกระดูกมากเช่นมะเร็งกระดูก การใช้ยานี้มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ฉีดก็ดีครับ

3. การฉายรังสีเพื่อคุณภาพชีวิต (หมายถึงเพื่อบรรเทาปวด) จะฉายเมื่อปวดจนทนไม่ได้ ถ้าปวดทนได้ ก็ไม่คุ้มฉาย

4. Beta Glucan ดีแน่สำหรับภูมิค้มกันต้านมะเร็ง แต่ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากอาหารธรรมชาติ เช่น เห็ด สาหร่าย ส่วนสารสังเคราะห์อัดเม็ดขาย ยังไม่มีหลักฐานข้อมูลว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า

5. ถ้าติดอยู่ในสมาธิก็ไม่ต้องออก ไม่ต้องแก้ มันจะพาไปโผล่อีกด้านหนึ่งเอง

6. ความดัน ชีพจร หายใจ ใกล้หยุดขณะสมาธิเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องแก้

7. ตรวจพบไวรัส EBV เป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็รู้ว่าสาเหตุการเป็นมะเร็งของเราเกิดจากไวรัสตัวนี้ ย่อมจะดีกว่าไม่รู้ว่ามะเร็งของเรามันเกิดจากอะไร

แม้ปัจจุบันนี้จะยังไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อไวรัส EBV แต่เราก็รู้ว่าร่างกายสามารถขจัดไวรัสทุกชนิดได้เองผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หน้าที่ของเราจึงต้องดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้เขาทำงานได้ท็อปฟอร์ม กล่าวคือ

ถ้าจะเอาตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ต้อง ออกกำลังกายทุกวัน, กินอาหารที่มีพืชเป็นหลักที่หลากหลายในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ, จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด, เสริมวิตามินดี หรือ

ถ้าจะเอาตามไสยศาสตร์ ก็ต้องสัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า, ตากแดด ตากลม สัมผัสน้ำ แช่น้ำ พาตัวเองออกจากที่แออัดไปอยู่กับธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร รับความอบอุ่นจากไฟ เลิกกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด กินสมุนไพรเช่นขมิ้นชัน สะเดา และวางความคิดให้เกลี้ยงมีชีวิตอยู่แต่ในความรู้ตัวผ่านการทำสมาธิ โยคะ รำมวยจีน เป็นต้น

8. เวลาในชีวิตของคนเราทุกคนไม่มีใครรู้ว่าเหลืออยู่มากหรือน้อย ให้ถือว่ามันเหลือน้อยไว้ก่อน ในเวลาที่เหลืออยู่ อย่าไปเที่ยวสงสัยอะไรมาก คุณเป็นชาวพุทธ ให้ดูคำสอนพุทธแค่สามบท 

(1) ธัมจักรกัปปะวัตนสูตร เป็นการสอนครั้งแรก (วันอาสาฬหะ) นักเรียนมีห้าคน ผมสรุปให้ฟัง เนื้อหาเกี่ยวกับ acceptance ยอมรับทุกอย่างให้ผ่านเข้ามา อยู่ตรงกลางนิ่ง ไม่แกว่งไปกอดรัดสิ่งที่ชอบหรืออยากได้ หรือแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบไม่อยากได้ ตรงนี้คือหัวใจนะ acceptance คือคีย์เวอร์ด ในบทสอนนี้ยังได้พูดถึงกลไกการเกิดและดับของทุกข์ ว่าทุกข์เกิดจากความคิด (desire) เมื่อวางความคิดไปหมดทุกข์ก็หมด ซึ่งทำได้ในชีวิตประจำวันคือไม่ว่าจะคิดพูดทำประกอบอาชีพอะไรก็ให้ทำในลักษณะที่ “ชอบ” คือทำในแบบที่จะทำให้อยู่นิ่งๆตรงกลางได้ไม่แกว่งไปหาไปยึดหรือแกว่งหนีอะไร

(2) อนัตตลักขณสูตร สอนวันที่ห้านับจากวันสอนวันแรก งวดนี้นักเรียนมีแค่สี่คน คือคนที่ไม่เก็ทจากการสอนวันแรก เป็นการพูดถึงเรื่องเดียวกันแต่คนละมุม คือความคิดที่ก่อทุกข์หรือ desire เกิดจากความเข้าใจผิดว่าชีวิตเราซึ่งประกอบขึ้นจากร่างกาย พลังชีวิต ความจำ ความคิด และความรู้ตัวนี้เป็นของที่สถิตย์สถาพร ทำให้พาลเข้าใจว่าความเป็นบุคคล (อัตตา) ของเรานี้มันเป็นของจริง โดยที่เราเป็นเจ้าของ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นการมาบรรจบกันแค่ชั่วคราวและเราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ เมื่อแยกแยะชิ้นส่วนย่่อยออกไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าอัตตาก็ไม่มี ไม่มีอะไรเหลือเลย .. บ๋อแบ๋

(3) โอวาทะปาฏิโมกข์ สอนพวกโยคีสาวกที่มาเยี่ยมพระพุทธเจ้าในวันศิวราตรี เล่ากันว่าพวกโยคีก่อนจะมาเข้าค่ายพระพุทธเจ้าเขานับถือพระศิวะกันมาแต่ดั้งแต่เดิม ถึงวันเพ็ญเดือนสามก็ต้องทำกิจบูชาพระศิวะซึ่งถือว่าเป็นคืนสำคัญของปีเรียกว่าศิวราตรี เมื่อมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าซึ่งไม่ยุ่งกับพระศิวะแล้ว แต่พอถึงวันเพ็ญเดือนสามมันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีจะต้องไปทำอะไรดีๆที่ไหนสักแห่ง ไม่รู้จะไปทำอะไรที่ไหนก็จึงเดินไปหาลูกพี่ คือพระพุทธเจ้า โยคีทุกคนก็คิดอย่างนี้ จึงโผล่หน้ามาพบพระพุทธเจ้าเป็นโขลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

แต่ที่สำคัญซึ่งผมตั้งใจจะพูดถึงคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนสาวกในคืนศิวราตรีนี้ ที่เรียกว่าโอวาทะปาฏิโมกข์ มีเนื้อหาโดยสรุปพูดถึง 6 ขั้นตอนปฏิบัติสู่ความหลุดพ้น คือ (1) ฝึกตนเป็นคนนิ่ง (ขันติ) เยือกเย็น ยอมรับ (2) ทำตัวเป็นคนมีศีล ไม่ทำร้ายชีวิตอื่น (3) ฝึกสำรวมอินทรีย์ หมายถึงคอยระแวดระวังเฝ้าดูว่าอะไรจะผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหกในแต่ละนาที (4) ฝึกประมาณในการกิน กินใกล้จะอิ่มก็พอ ไม่กินจนอิ่มอึดอัด (5) ฝึกตื่นตัวรู้ตัวในทุกอริยาบทไม่ว่าจะลุก นั่ง ยืน เดิน (6) ฝึกนั่งสมาธิ คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ตามดูลมหายใจ ใช้เครื่องมือวางความคิดอันได้แก่ สติ การผ่อนคลาย สมาธิ เป็นต้นเพื่อเข้าถึงภาวะที่ตื่นอยู่โดยไม่มีความคิด (ฌาณ) เกิดปัญญาญาณเห็นความจริงของชีวิตจนละวางความคิดยึดถือในอัตตาลงได้ในที่สุด

เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ คุณใช้สามสูตรนี้นำทางชีวิตก็พอแล้ว อย่าไปว่อกแว่กกับเรื่องอื่นมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ฺ