Latest

คุณจะเรียนชีวิตเอาจากอดีตไม่ได้

กราบเรียนคุณหมอสันต์

หนูกำลังตั้งใจเรียนรู้ชีวิตให้ลึกซึ้งจริงจัง ทั้งอ่าน ดู ฟัง และฝึกปฏิบัติจากครูบาอาจารย์สายต่างๆ ตอนนี้เรียน ป.เอกอภิธรรมที่ … ด้วย อ่านบล็อกหมอสันต์ซึ่งหนูถือว่าเป็นพวกไม่มีสายด้วย อิ อิ อยากจะขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากคุณหมอ

…………………………………………………………………

ตอบครับ

คุณเป็นคนมีความรู้สูง แต่เคยมองคอนเซ็พท์ที่คุณยึดมั่นมาตลอดว่ามันไร้สาระบ้างไหม อย่างเช่นปริญญาตรี โท เอก นี่ไร้สาระอย่างสิ้นเชิงในแง่ของการเรียนรู้ชีวิต แม้ในแง่ของการจะเอาไปหางานทำเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว 80% จะมียกเว้นก็เฉพาะวิชาชีพเฉพาะ อย่าง แพทย์ พยาบาล บัญชี เป็นต้น คุณเรียนรู้อะไรมากมายจากหนังสือ ครูอาจารย์ และจากประสบการณ์ของคุณเอง ผมไม่เถียง แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นล้วนเป็นการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เป็นเพียงแค่ความทรงจำเก่าๆซึ่งส่วนใหญ่บูดอีกต่างหาก ความรู้อย่างนั้นไม่มีทางทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปสู่มิติใหม่แบบขุดรากถอนโคนได้หรอก การจะเปลี่ยนชีวิตคุณอย่างขุดรากถอนโคนคุณต้องเรียนจากตัวชีวิตสดๆ เป็นๆ คุณเรียนเอาจากอดีตไม่ได้ คุณต้องเรียนเอาจากการมีชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เพราะชีวิตที่เดี๋ยวนี้มันมีความสมบูรณ์ในตัวมัน มีทุกอย่างให้คุณเรียนรู้ได้อยู่แล้ว

ความตั้งใจของเราก็ดี ความคิดของเราก็ดี คอนเซ็พท์เรื่องชั่วดีถี่ห่างก็ดี ทัศนคติของเราก็ดี การกระทำของเราก็ดี มีรากเหง้ามาจากการผสมพันธ์กันระหว่างความรู้ตัวกับสำนึกว่าเป็นบุคคล ที่ผมเรียกว่าความรู้ตัวนั้นในภาษาอังกฤษใช้คำว่า consciousness บ้างหรือ awareness บ้าง ไม่มีคำไหนในภาษาไหนสื่อถึงมันได้ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญคือคุณอย่าไปเข้าใจสลับที่กันว่าชีวิตนี้อะไรเป็นรากกำเนิด อะไรเป็นผลผลิต ยกตัวอย่างเช่นหากคุณทำฟาร์ม ถ้าคุณไพล่ไปเข้าใจว่าผลไม้เป็นต้นกำเนิดให้ตัวมันเองโดยไม่เข้าใจว่าดินเป็นรากกำเนิดของผลไม้ ด้วยความเข้าใจสลับที่กันอย่างนี้แล้วคุณก็จะผลิตผลไม้ให้มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมได้ไหม

ความคิดมีรากกำเนิดมาจากการที่ความรู้ตัวมาสนใจหรือมาให้การยอมรับ “สำนึกว่าเป็นบุคคล” ยอมรับและเชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นของจริงที่ประกอบขึ้นจากร่างกาย ความคิด ประวัติความเป็นมา การมีพวก มีสังกัด สำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เป็นผู้แบ่งเขตว่านี่คือฉัน นั่นไม่ใช่ฉัน เครื่องมือในการแบ่งเขตก็คืออายตนะ คือตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจที่รับรู้ความคิดได้ ตาหูจมูกลิ้นผิวหนังนั้นแบ่งเขตโดยอาศัยการรับรู้เชิงประสาทวิทยา เช่นถ้าหยิกแล้วเจ็บก็เป็นร่างกายของเรา ถ้าหยิกแล้วไม่เจ็บก็ไม่ใช่ร่างกายเรา แต่ความคิดนั้นแบ่งเขตกันไปด้วยจินตนาการซึ่งมักกว้างไกลไม่รู้จะไปจบที่ไหน เช่น ประเทศ ชาติ ศาสนา สีผิว เผ่าพันธ์ สถาบัน ปริญญา พวก ฝ่าย สิทธิความเป็นเจ้าของ ทะเบียนบ้าน โฉนดที่ดิน เป็นต้น เมื่อต่างคนต่างมีเขตมีพวก การตีกันเรื่องเขตเรื่องพวกก็ตามมาเพราะเรามองการปกป้องเขตปกป้องพวกว่าเป็นความปลอดภัย (security) หรือเป็นความจำเป็นเพื่อการอยู่รอด (survival) ชีวิตคนเราจึงเสียเวลาไปกับความคิดที่กุขึ้นโดยสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เสียตลอดชีวิตไม่มีโอกาสได้โงหัวเป็นอิสระจากความคิดเลย เป็นเช่นนี้มาแล้วตั้งแต่อดีตนานกี่พันปีไม่รู้

การจะเรียนชีวิตที่ลีกซึ้งลงไปกว่าแค่การจะอยู่รอดพอให้ถึงแก่แล้วตายไปอย่างไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติมเลยนั้น คุณต้องถอยเข้าไปให้ถึงความรู้ตัว การจะไปตรงนั้นได้คุณต้องเริ่มด้วยการลงมือฝึกปฏิบัติในการทิ้งความคิด จนสามารถหดหรือถอยความสนใจจากอายนะทั้งหกรวมทั้งจากความคิดด้วย เอาความสนใจเข้าไปกบดานนิ่งอยู่ในที่ว่างๆตรงนั้นซึ่งไม่มีอะไรเลย ทิ้งสำนึกว่าเป็นบุคคลเดิมไปเป็นอะไรที่ไม่ใช่อะไรสักอย่าง ไม่ใช่ใครสักคน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเวลา (nobody, no place, no time) จุ่มแช่รออยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นไม่ว่าจะนานกี่เดือนกี่ปี ความจริงจะใช้คำว่ารอก็ไม่เชิง เพราะตรงนั้นมันก็คือการใช้ชีวิต มันเป็นการใช้ชีวิตแบบสบายๆไม่ร้อนรนอะไร ไม่ต้องรออะไร แค่ไหลไปตามชีวิตที่ดำเนินไป ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่ยอมให้ความคิดมาชักใบให้เรือเสีย การดำรงอยู่โดยไม่คิดมันเป็นที่ที่จะเกิดการเรียนรู้ชีวิตในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการเรียนรู้ผ่านอายตนะทั้งหกจะรู้ได้ วิธีการเรียนรู้ตรงนั้นไม่ใช่การคิดพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญเอาจากความจำหรือหลักเหตุผล แต่เป็นการเรียนรู้แบบยามปลอดความคิดนิ่งๆนานๆไปแล้วมันจะเกิดรู้ขึ้นมาเองดื้อๆเหมือนความรู้ในรูปแบบที่ใช้ภาษาอธิบายไม่ได้ถูกดาวน์โหลดลงมาจากท้องฟ้า จะเรียกว่าปัญญาญาณ หรือญาณทัศนะ ก็ได้ นี่จึงจะเป็นการเริ่มต้นการเรียนรู้ชีวิตที่แท้จริง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์