Latest

ย้ายสวนดอกไม้หนีร่ม กับลมในท้องและถ่ายเหลวเมื่อกินผัก

     ช่วงนี้ ผมทำโปรเจ็คเล็กๆเสร็จไปอีกหนึ่งโปรเจ็คแล้ว นั่นคือโครงการย้ายสวนดอกไม้หนีร่ม ความเดิมมีอยู่ว่าผมทำสวนดอกไม้สไตล์สวนมั่วแบบอังกฤษ (cottage garden) อยู่ที่ริมหน้าต่างหน้าบ้านซึ่งก็ประสบความสำเร็จมีความสวยงามสลับกับความรกอย่างเข้าขากันได้ดีเรื่อยมานับสิบปี แต่ต่อมาต้นประดู่ป่าที่ปลูกไว้ข้างบ้านเมื่อยี่สิบปีก่อนตั้งแต่ต้นเล็กกว่านิ้วก้อย ตอนนี้มันเกิดโตเป็นต้นไม้ขนาดคนโอบและบดบังสวนมั่วของผมไม่ให้ได้แดด โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่ผมอยากให้ไม้ดอกได้แดดจะได้แข่งกันออกดอก ปรากฎว่าพอไม่ได้แดดมันก็ออกให้แต่ใบ จนผมต้องตัดสินใจย้ายสวน

มองจากกลางสนามไม่เห็นหรอกว่ามีสวนดอกไม้อยู่

     ที่บ้านบนเขานี้ ตำแหน่งที่มีแดดเหลืออยู่ที่เดียว คือตรงที่หลุดตกขอบสนามออกไปทางหน้าบ้านซึ่งเป็นเชิงลาดความชันสูง พอดีแฟนบล็อกนี้ท่านหนึ่งเขียนมาแนะนำผมเรื่องการปลูกผักแบบ permaculture ว่าให้ผมฝังกิ่งไม้ใบไม้ไว้ใต้ดินเลียนแบบป่าที่กิ่งไม้ใบไม้หล่นลงมาทับถมกัน แล้วปลูกผักทับข้างบน ผมจึงเอาเทคนิคนั้นมาทำสวนดอกไม้ที่ตำแหน่งใหม่นี้ โดยการเอาต้นไม้ผุและกิ่งไม้กองสุมๆกันลงไปก่อน แล้วเอาใบไม้ทับให้หนาเตอะเพราะหน้านี้ใบไม้หาง่ายมาก แล้วเอาดินทับข้างหน้าแค่บางๆ ทับหนาไม่ได้เพราะขนดินขึ้นมาไม่ไหว แล้วก็ปลูกดอกไม้บนนั้น ปลูกไปก็คิดไปอยู่เหมือนกันว่าข้างล่างเป็นโพรงอย่างนี้มันเหมือนกับดักพิกล แล้ววันหนึ่งก็มีคนมาติดกับดักจริงๆ คือหมอสมวงศ์ไม่รู้ว่าสวนใหม่ของผมฝังกิ่งไม้ใบไม้ไว้ข้างล่าง เธอเดินเข้าไปตัดแต่งกิ่งกุหลาบ แล้วก็ ผลุบ..บ เท้าจมทะลุดินลงไป หิ หิ คนสวนอย่างผมก็เลยโดนโวยวายไปตามระเบียบ

พอเดินไปไกล้ขอบสนามจึงจะมองเห็นสวน

     และเย็นวันหนึ่งเพื่อนบ้านได้ข่าวว่าผมทำสวนดอกไม้ใหม่ก็มาเยี่ยม ผมกำลังยุ่งๆอยู่หลังบ้านจึงบอกว่าคุณไปดูเองนะ สวนใหม่อยู่สนามหน้าบ้าน เขาไปดูแล้วตะโกนกลับมาบอกว่า

     “หาสวนไม่เจอ” 

     เพราะว่าสวนใหม่ของผมนี้เมื่อยืนอยู่กลางสนามจะมองไม่เห็น ต้องเดินไปถึงขอบสนามจึงจะเห็น เพราะมันหรุบต่ำซ่อนตัวอยู่อย่างไว้เชิง ผมบอกเขาด้วยว่าอย่าเดินเข้าไปในนั้นนะ แล้วอธิบายให้ฟังว่าผมสร้างสวนนี้โดยฝังขอนไม้ผุและกิ่งไม้ใบไม้ไว้ข้างล่างเยอะมาก เขาบอกว่า

ยังมีไม้ผุอีกอันหนึ่งที่ลืมเอาไปฝัง 

     “ยังมีขอนไม้ผุอีกดุ้นเบ้อเร่อคุณหมอลืมเอาไปฝังด้วย” 
   
      ผมมองตามที่เขาชี้มือไป แล้วก็อมยิ้มให้กับมุกตลกของเขา คือเขาชี้ไปที่แท่นตงไม้ขนาดใหญ่ที่ผมทำไว้นานหลายปีแล้วเพื่อเป็นร้านวางกระถางผักสวนครัวซึ่งตอนนี้ถูกทิ้งร้างผุร่องแร่งได้ที่จะเกือบจะพังลงมารอมร่อ แต่ผมก็ไม่มีเวลาจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับมันสักที เอาไว้รอเป็นโปรเจ็คต่อไปก็แล้วกัน แต่วันนี้มองดูมันในมุมย้อนแสงตอนเช้า เออ..มันก็เท่ดีนะ จึงถ่ายรูปร้านผักสวนครัวผุๆมาให้ท่านผู้อ่านดูเล่นด้วย

     เผลอคุยเล่นไร้สาระเสียแยะ มาตอบคำถามบ้างดีกว่า เอาเรื่องสั้นๆก็พอนะ

………………………………………………

สวัสดีครับคุณหมอ
คุณหมอครับตอนนี้ผมลดความอ้วนอยู่ครับ ตอนนี้ลดจาก 103 เหลือ 93 กิโลกรัมแล้วครับ เริ่มลดความอ้วนตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยการควบคุมอาหาร และก็ออกกำลังกาย ตอนแรกทานอาหารมีแหล่งโปรตีนจากอกไก่และปลารวมถึงนมและไข่ด้วย โดยทานปริมาณโปรตีนเท่ากับน้ำหนักตัว ต่อมาผมเจอคลิปเกี่ยวกับสุขภาพของคุณหมอในยูทูป รวมถึงตามอ่านบล๊อกคุณหมอบ้าง เลยเปลี่ยนมาทานแบบ WFPB และก็ทานสัดส่วนอาหารกลุ่มต่างๆตาม Canada’ s food guide แต่ลดปริมาณ grain products เหลือ 3 serving ต่อวัน พอเปลี่ยนมาทานแบบใหม่ผมใช้แหล่งโปรตีนจาก ถั่ว 2 serving นัท+seed 1 serving ไข่ 1 serving และนม 2 serving ปัญหาคือ
1.วันแรกที่ผมกินโปรตีนจากกลุ่มนี้ ผมปวดท้องแบบปวดๆหายๆ(ปวดท้องบิด) และถ่ายอุจาระออกมาเป็นเม็ดถั่ว กลิ่นก็ไม่เหมือนเดิมคือมีกลิ่นคล้ายนมบูด
2.วันที่สองไม่มีอาการปวดแล้ว แต่ถ่ายมีอุจจาระเหลวเหมือนน้ำผักผลไม้ปั่นละเอียด และยังคงมีกลิ่นคล้ายนมบูด
อยากถามคุณหมอว่า
1.เป็นอาการผิดปกติหรือไม่ครับ
2.ปริมาณโปรตีนที่ผมรับประทานต่อวันถือว่าเพียงพอไม้ครับ
ขอบคุณครับ

…………………………………………………….

ตอบครับ

     1. ถามว่าเปลี่ยนอาหารมากินพืชผักผลไม้มากขึ้นและมีอาการปวดท้องถ่ายเหลวเหมือนอาหารไม่ย่อย เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า ตอบว่าเป็นเรื่องปกติครับ เพราะเมื่อเปลี่ยนอาหารจากกินเนื้อสัตว์เป็นหลักมากินพืชเป็นหลัก ใหม่ๆระบบย่อยอาหารยังไม่คุ้นเคย บักเตรีในลำไส้ก็เป็นคนละชนิด คือคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำจะมีบักเตรีในลำไส้ชนิดหนึ่งซึ่งชอบกินเนื้อสัตว์ ส่วนคนที่กินพืชเป็นประจำก็จะมีบักเตรีในลำไส้อีกชนิดหนึ่งซึ่งชอบกินพืช ช่วงเปลี่ยนผ่านมีบักเตรีคอยกินเนื้อสัตว์แต่ไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน ส่วนอาหารพืชเหลือลงไปในลำไส้แยะแต่ไม่มีบักเตรีที่จะมาช่วยกิน ท้องไส้จึงปั่นป่วน ถ่ายออกเหลว ถ่ายบ่อยวันละหลายครั้ง มีลมมาก อาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นจนหายไปกลายเป็นสบายท้องอย่างสุดๆหลังจากที่ระบบย่อยอาหารคุ้นเคยกับอาหารใหม่แล้ว ระยะเวลาปรับตัวนี้แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางรายใช้เวลานานถึง 3-6 เดือน ดังนั้นให้เดินหน้ากับอาหารพืชเป็นหลักต่อไปครับ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะเข้าที่เอง

     2. ถามว่ากินทั้งถั่ว ทั้งนัท ทั้งไข่ ทั้งนม โปรตีนจะพอไหม ตอบว่าโอ้โฮ คุณจะบ้าโปรตีนไปถึงไหนกันเนี่ย แต่จะว่าคุณก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะคนทั้งโลกทุกวันนี้ต่างพากันบ้าโปรตีน รวมทั้งหมอด้วย ทั้งๆที่หมอส่วนใหญ่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นคนเป็นโรคขาดโปรตีนเลยในชีวิตด้วยซ้ำ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความบ้าโปรตีนนี้มันมาจากไหน เข้าใจว่ามาจากอิทธิพลของอุตสาหกรรมอาหาร ความเป็นจริงคือการกินอาหารพืชเป็นหลักหรือแม้กระทั่งกินอาหารมังสะวิรัติเข้มงวดไม่กินไข่กินนมเลย กินแต่โปรตีนจากพืชเช่นถั่วและงา ก็ได้รับโปรตีนมากเกินพออยู่แล้ว เพราะ

     (1) ในแง่ของปริมาณโปรตีนในอาหาร พืชมีเปอร์เซ็นต์โปรตีนมากเท่าๆกับอาหารเนื้อสัตว์ เช่นถั่วต่างๆมีโปรตีน 26% ใกล้เคียงกับเนื้อหมูเนื้อวัวซึ่งมีโปรตีน 20%

     (2) ในแง่ของความครบถ้วนของกรดอามิโนจำเป็น หากกินอาหารพืชที่หลายหลายที่อย่างน้อยมีทั้งถั่วทั้งงาด้วย ก็จะได้กรดอามิโนจำเป็นครบถ้วนเช่นเดียวกับกินเนื้อสัตว์

     (3) ในแง่ของความต้องการโปรตีนในอาหารของร่างกายมนุษย์ เราไม่ได้ต้องการอาหารที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงเลย ช่วงที่มนุษย์ต้องการโปรตีนมากที่สุดคือช่วงแรกเกิดถึงอายุหนึ่งขวบซึ่งเป็นช่วงที่เติบโตเร็วมาก ช่วงนั้นอาหารธรรมชาติให้มามีอย่างเดียวคือนมแม่ นมแม่มีโปรตีนเพียง 1% เท่านั้นเองนะ หรือจะพูดให้ชัดๆก็คือ 0.99% เราไม่จำเป็นต้องไปขวานขวายหาอาหารที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงๆดอก (ถั่วมีโปรตีน 26% เนื้อหมูเนื้อวัวมีโปรตีน 20% นมวัวมี 3.5% ไข่มี 7.5%)

     การสำรวจภาวะโภชนาการคนอเมริกันพบว่าเฉลี่ยแล้วคนกินโปรตีนมากเกินความต้องการของร่างกายไปประมาณ 150% โปรตีนส่วนเกินนี้จะตกเป็นภาระต่อไตในการขับทิ้งเปล่าๆ งานสำรวจเดียวกันนั้นพบว่าโภชนาการที่ร่างกายคนอเมริกันขาด คือไวตามิน เกลือแร่ และกาก ซึ่งเราได้จากพืช ขณะที่โภชนาการส่วนที่เกินคือแคลอรี่และไขมัน ไขมันนี้ส่วนใหญ่คนอเมริกันได้มาจากอาหารเนื้อสัตว์

     สรุปว่าให้คุณเดินหน้ากับแผนอาหารที่ตั้งใจจะทำตาม Canada’ s food guide ต่อไปเถอะ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องขาดโปรตีน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์