ใส่ก่อน สวมทีหลัง จะกินยาป้องกันเอดส์ (PEP) อย่างไร
คุณหมอสันต์ครับ
พอดีผมได้ไปใช้บริการสาวบริการ ซึ่งผมก็สวมถุงยางตามปกติครับไม่มีปัญหาถุงแตกหรือรั่ว
แต่ก่อนสวม ผมได้ทำผิดอย่างนึงคือ สอดอวัยวะเพศครึ่งเดียวเข้าไปในอวัยวะเพศหญิง 1 ครั้ง แล้วดึงออก(ไม่มีการเลือดออกครับ แค่แหย่เฉยๆ) จากนั้นสวมถุงยางตามปกติและทำต่อ ประเด็นที่ว่าผมสวมเข้าไป 1 ครั้งทำให้ผมคิดมาก วันรุ่งขึ้นผมได้ไปขอรับยาต้านฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเอกชนเขาก็ให้ตรวจเลือดก่อนรับ ผลออกมาเป็นลบ
ผมได้อธิบายหมอไปตามที่ผมบอกข้างต้นครับ หมอเขาก็บอกไม่เป็นไร แต่ผมก็ยืนยันจะขอรับยาต้านฉุกเฉินกันไว้ หมอเลยให้ยา GPO vir Z250mg ใช้รับประทานครั้งละ 12 ชั่วโมงตรงเวลามาสำหรับ 7 วัน(14เม็ด)
รบกวนสอบถามคุณหมอดังนี้ครับ
ประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าตามสูตรครบโดสมันควรจะเป็น 28 วันไม่ใช่เหรอครับ?
หรือเราควรไปขอรับยาเพิ่ม ซึ่งหมอเขาไม่ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมนะครับ ผมควรทำไงต่อดีครับยาใกล้หมดแล้ว?
ตอนนี้ผมหยุดทำพฤติกรรมเสี่ยงเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ผมสวมถุงยางป้องกันทุกครั้ง(ไม่เคยไม่สวม)
ขอบพระคุณมากครับ
……………………………………………….
ตอบครับ
พอผมเขียนเรื่องการใช้ยาสำหรับผู้ติดเชื้อเอ็ชไอวี. (เอดส์) ก็มีจดหมายวัยรุ่นซึ่งเป็นพลเมืองชั้นสองของบล็อกนี้เขียนเข้ามาเพียบ จับความได้ว่าส่วนใหญ่มีปัญหาไม่รู้วิธีกินยาป้องกันการติดเชื้อหลังมีพฤติกรรมเสี่ยง (PEP) อย่างถูกวิธี ซึ่งผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เลยรีบหยิบจดหมายตัวอย่างขึ้นมาตอบหนึ่งฉบับ เห็นตอบจดหมายเด็กๆถี่แฟนประจำบล็อกอย่าเข้าใจผิดว่าหมอสันต์แก่แล้วจึงประสาทกลับหันไปเล่นหัวกับเด็ก เปล่านะครับ บล็อกนี้ยังไงก็เป็นบล็อกของผู้สูงอายุเหมือนเดิม
1. ก่อนจะตอบคำถาม ขอพูดถึงวิธีมีเพศสัมพันธ์แบบใส่ๆถอดๆ แบบว่าลองเอาแหย่เข้าไปก่อน แล้วก็ออกมาใส่ บัดเดี๋ยวใส่ บัดเดี๋ยวถอด บัดเดี๋ยวสอด แล้วก็กลับไปใส่
“โอ๊ย..ย ซะมาคักแท้เด๊…”
เมื่อไหร่จะเลิกทำอะไรมั่วๆแบบนี้กันเสียทีนะ อย่างน้อยวัยรุ่นที่อ่านบล็อกหมอสันต์ควรจะเลิกทำอะไรแบบนี้เสีย ถุงยางอนามัยที่เขาบอกว่าป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ชะงัดดีนักนั้น เขาทำวิจ้ยมาจากการใช้งานแบบ “รูดมหาราช” นั่นคือใส่ครั้งเดียว ตั้งแต่ก่อนปฏิบัติกิจ แล้วไม่มีการถอดเด็ดขาด จนสำเร็จกิจ แล้วจึงถอยทัพออกมาถอดอย่างมีสติและระมัดระวัง ถึงตอนนั้นความหน้ามืดน่าจะหมดไปและสติควรจะกลับมาแล้ว การใช้ถุงยางอนามัยให้เป็น ถือเป็นไฮไลท์ของชีวิตคนหนุ่มสาว ถ้าใช้ไม่เป็น แสดงว่าไม่ใช่แฟนบล็อกหมอสันต์ตัวจริง
2. การที่คุณพลาดท่าเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสเชื้อจากผู้บริจาคเชื้อที่ไม่ทราบสถานะไปแล้ว แล้วคุณรีบไปหาหมอเพื่อขอรับยากินเพื่อป้องกันหลังการมีโอกาสสัมผัสนั้น เป็นการกระทำที่ประเสริฐ การที่หมอสั่งให้เจาะเลือดตรวจ HIV ทันทีที่เห็นหน้าคุณก็เป็นการกระทำที่ประเสริฐ เพราะเด็กวัยรุ่นถ้ามาหาผมด้วยเรื่องกังวลว่าจะติดเชื้อที่เพิ่งนอนกันมาหมาดๆเมื่อคืนนี้ ผมเองก็จะเจาะเลือดตรวจ HIV เพื่อช่วยวินิจฉัยการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นนานก่อนหน้านั้น
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่เมื่อผลการเจาะเลือดครั้งนี้เป็นลบ ก็ไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินใจใช้ยาป้องกันแบบ PEP คือมันเป็นคนละเรื่อง การให้ยา PEP เป็นการป้องกันโอกาสติดเชื้อหลังได้รับเชื้อซึ่งจะทำกันทันทีที่มีโอกาสได้รับเชื้อ อย่างช้าไม่เกิน 7 วัน แต่การตรวจภูมิคุ้มกัน HIV เป็นการวินิจฉัยว่าเคยติดเชื้อเอดส์ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้มาหรือเปล่า ซึ่งเราจะทำอย่างเร็วก็ 2 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อขึ้นไป และเราจะไม่ใช้ข้อมูลที่ว่าผลตรวจ HIV เป็นลบมาตัดสินใจไม่ให้ยา PEP เป็นอันขาด เพราะเป็นที่รู้กันทั่วว่าการติดเชื้อโรคเอดส์นี้มันมีระยะหน้าต่างของการหาเชื้อไม่พบ (window period) คือติดเชื้อมาแล้วแต่ตรวจ HIV ยังไม่เจอ ซึ่ง window period นี้หากถือเอาตามเทคนิคการตรวจปัจจุบัน มันอาจยาวได้ถึง 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน
3. ถามว่าในการกินยาป้องกันแบบ PEP หมอเขาให้ยา GPO vir Z250mg มากินตัวเดียวมันพอไหมเพราะโดยทั่วไปเขาต้องใช้ยากันถึงสามตัว ตอบว่ายา GOP vir Z 250 mg นี้เป็นส่วนผสมของยา Nevirapine (NVP) 200 mg + Lamivudine (3TC) 150 mg + Stavudine (d4T) 30 mg ซึ่งก็คือสามตัวเหมือนกัน ทีนี้ถามว่าสามตัวนี้มันดีพอไหม แฮ่..แฮ่.. อันนี้ต้องไปถามพระเจ้าละครับคุณพี่ เพราะทุกวันนี้ยังไม่เคยมีงานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบว่ายาสูตรไหนดีกว่าสูตรไหน ดังนั้นนอกจากพระเจ้าแล้วไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้หรอกครับ ผมตอบได้แต่ว่าสุตรมาตรฐานยาแถวแรกที่ใช้เพื่อการป้องกันแบบ PEP ที่สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย แนะนำปัจจุบันนี้คือ TDF + FTC + Rilpivirine (หรือ ATV/r หรือ LPV/r) อย่างไรก็ตามผมว่าเรื่องสูตรยาไหนดีกว่าสูตรยาไหนนี้มันไม่ใช่ทางบรรลุนิพพาน คุณอย่าไปสนใจเลย
4. ถามว่าหมอเขาให้คุณกินยา PEP นานแค่ 7 วันพอไหม ตอบว่าไม่พอครับ เพราะการใช้ยาแบบ PEP ทั่วโลกต้อง 28 วัน หรือสี่สัปดาห์ เพราะหลักฐานวิจัยที่มีทำกันที่ 28 วันแล้วพบว่ามันป้องกันโรคได้ 80% การให้ยากินแค่ 7 วันเป็นการกินแบบรักษาโรคประสาทไม่เกี่ยวกับการจะป้องกันโรคได้หรือไม่ได้
เรื่องการให้ยาแรงๆ เช่นฆ่าเชื้อเอดส์บ้าง ยาเคมีบำบัดบ้าง ยาปฏิชีวนะบ้าง ให้คนไข้กินเพื่อรักษาโรคประสาทนี้ เป็นความนิยมส่วนตัวของแพทย์เฉพาะคน เป็นการใช้ยาแบบ off label ไม่ใช่การใช้ยาตามหลักวิชา ซึงผมมีความเห็นส่วนตัวว่าผู้ป่วยไม่ควรยอมรับการรักษาแบบนี้ เพราะข้อเสียนั้นมีแน่ๆซึ่งก็คือพิษภัยของยาซึ่งมีหลักฐานยืนยันเพียบ ส่วนข้อดีมีหรือไม่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนเลย
5. ถามว่าก็ในเมื่อคุณอยากได้ยานาน 28 วัน เพราะคุณทราบมาว่าการกินยาแบบ PEP ต้องกิน 28 วัน แต่หมอท่านยืนยันให้ทานแค่ 7 วัน จะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณก็เปลี่ยนหมอเสียสิครับ คือในเรื่องการป้องกันโรคเอดส์นี้ผมแนะนำให้เสาะหาการรักษากับแพทย์โรคติดเชื้อ (infectious man) แพทย์ที่ทำมาหากินหลายเรื่องครอบจักรวาลยกตัวอย่างเช่นแพทย์ประจำครอบครัวอย่างหมอสันต์นี้รักษาคนไข้ตั้งแต่ปู่ย่าตายายพ่อแม่ลูกหลาน ยากที่จะตามความรู้ใหม่ๆเฉพาะด้านได้ทัน จึงมีโอกาสที่จะรักษาคนไข้แบบดื้อตาใส คือ..หวังดีจริง แต่รู้ไม่จริง
6. คุณบอกว่า
“ตอนนี้ผมหยุดทำพฤติกรรมเสี่ยงเด็ดขาดแล้ว”
ฮี่..ฮี่ พูดกับใครเหรอครับคุณพี่ ถ้าพูดกับตัวคุณพี่เองก็แล้วไป แต่ถ้าพูดกับหมอสันต์ อย่าลืมนะว่าหมอสันต์นะอายุ 63 ปีแล้ว อาบน้ำร้อนมาหลายอ่าง..เอ๊ย ไม่ใช่
“อาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้า…ข้าเข้าใจ”
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม