มีความเสี่ยงโรคหัวใจต้องกินยาแอสไพรินไหม (primary prevention)
เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันอายุ 51 ปี เป็นไขมันในเลือดสูง และเป็นความดันเลือดสูง กินยาลดไขมันและยาลดความดันอยู่ หมอแนะนำแบบหนักแน่นให้กินยาแอสไพรินแบบตลอดชีวิต ดิฉันพยายามหาอ่านดูแต่ก็ไม่มีอะไรมาประกอบการตัดสินใจได้เลยว่าควรจะกินหรือไม่ มีแต่ที่หมอเขาบอกว่ามันเป็น guideline มาตรฐานว่าควรจะกิน ขอคำแนะนำด้วยคะ
………………………………………..
ตอบครับ
กรณีของคุณนี้ ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงด้านโรคหัวใจ (major cardiac event – MACE) การกินยาใดๆเพื่อผลดีด้านโรคหัวใจในคนแบบคุณนี้เรียกว่าเป็นการกินยาเพื่อการป้องกันปฐมภูมิ (primary prevention) การกินยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหัวใจแบบปฐมภูมินี้ยังไม่ใช่มาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไปนะครับ ยังเป็นเรื่องที่ทั้งแพทย์และผู้ป่วยจะต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและประโยชน์เป็นรายคนไป ไม่ใช่ว่าต้องกินกันตะพึด
ไหนๆคุณก็เขียนมาแล้ว ผมขอถือโอกาสนี้เล่าให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจและสามารถใช้ดุลพินิจของตัวเองตัดสินใจเลือกกินหรือไม่กินยาได้เอง เรื่องที่จะเขียนนี้มันเข้าใจยากหน่อยนะ ขอให้พยายามอ่าน ประเด็นสำคัญคือการนำเสนอตัวเลขผลวิจัยทางการแพทย์นี้ มันไปเข้าทางบริษัทขายยา ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะพอผมเกิดมาเข้าสู่วงการแพทย์มันก็เป็นอย่างนี้ของมันอยู่แล้ว ผมไม่ได้ทำขึ้น กล่าวคือหลักฐานทางการแพทย์เกือบทั้งหมดเป็นข้อมูลสถิติแสดงความน่าจะเป็น (probability) เป็นตัวเลขที่มีวิธีนำเสนอได้หลายวิธี หากไม่เข้าใจความหมายของวิธีนำเสนอตัวเลขทางสถิติถ่องแท้ ผู้อ่านก็จะถูกหลอกให้เข้าใจผิดหลงซื้อยาเขาได้ง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่นการแนะนำให้คนที่ยังไม่ได้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดกินยาแอสไพรินเพื่อป้องกันการเกิดเรื่องร้ายทางด้านหัวใจขึ้น ซึ่งเรียกว่าเป็นการป้องกันแบบปฐมภูมิ (primary prevention) คือยังไม่เป็นอะไรถึงขั้นเกิดเรื่องร้ายก็ป้องกันไว้ก่อนนี้ มันมาจากงานวิจัยเปรียบเทียบการกินยาแอสไพรินกับยาหลอก ซึ่งให้ผลว่ายาแอสไพรินลดความเสี่ยงของการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายลงได้ 12% เมื่อเทียบกับยาหลอก ท่านผู้อ่านฟังดูแล้วมันก็น่าเลื่อมใสใช่ไหมครับ 12% นี่มันไม่ใช่น้อย แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้
ในงานวิจัยนี้ ซึ่งมาจากงานวิจัยย่อยหลายงานรวมกัน เขาเอาคนมาจับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินยาแอสไพริน อีกกลุ่มหนึ่งให้กินยาหลอก แล้วตามไปดูเจ็ดปี พบว่า
กลุ่มที่กินยาแอสไพริน จำนวน 54,675 คน เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายขึ้น 1,258 คน ซึ่งก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยง 2.30%
กลุ่มที่กินยาหลอก จำนวน 53,011 คน เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายขึ้น 1,388 คน ซึ่งก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยง 2.61%
คิดแบบใช้สามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ก็แสดงว่ายาแอสไพรินสามารถลดความเสี่ยงการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ = 2.61 – 2.30 = 0.31% ถูกไหมครับ
ตัวเลขนี้ทางสถิติการแพทย์เรียกว่าการลดความเสี่ยงแบบเบ็ดเสร็จ (absolute risk reduction – ARR) เป็นตัวเลขที่ใครๆก็เข้าใจได้ง่าย ว่าถ้ากินยาแอสไพรินอยู่เจ็ดปีจะรอดพ้นจากการเกิดเรื่องร้าย 0.31% พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆก็คือ
“…กินยาอยู่ตั้งเจ็ดปีแต่โอกาสได้ประโยชน์ไม่ถึง 1%”
แต่ว่าในรายงานสรุปงานวิจัยทั่วไปที่เป็นการวิจัยเกี่ยวกับยา เขาไม่รายงานตัวเลขแบบ ARR นี้นะครับ เขาไปรายงานตัวเลขอีกแบบหนึ่งเรียกว่าตัวเลขการลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ (relative risk reduction – RR) ซึ่งเขามีวิธีคำนวณดังนี้
กลุ่มที่กินยาแอสไพรินมีความเสี่ยงเกิดเรื่องร้าย 2.30%
กลุ่มที่กินยาหลอกมีความเสี่ยงเกิดเรื่องร้าย 2.61%
การลดความเสี่ยงแบบเบ็ดเสร็จ(ARR) ของยาแอสไพรินคือ = 2.61 – 2.30 = 0.31%
การลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ (RR) ของยาแอสไพริน คือ = (0.31/2.61) x 100 = 12%
แล้วก็ป่าวประกาศว่าการกินยาแอสไพริน (แอบไม่บอกว่าต้องกินกี่ปีด้วยนะ) จะลดความเสี่ยงการเกิดเรื่องร้ายทางหัวใจลงได้ถึง 12% ถือเป็นการลดความเสี่ยงที่คุ้มกับพิษภัยของยาและสาธุชนทั่วไปควรจะกิน หิ หิ คุณจะเชื่อเขาหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่คุณละครับ คุณจะกินก็กินไปเถอะ แต่ผมไม่กินด้วยหรอก เพราะผมถือเอาตามสามัญสำนึกว่ามันลดความเสี่ยงได้เพียง 0.31% มีเลขศูนย์นำหน้าจุดทศนิยมด้วยนะ ไม่ใช่ 12%
ในชีวิตนี้ ผมไม่สนความเสี่ยงระดับต่ำกว่า 1% หรอกครับ เพราะแค่ในวันอากาศร้อนๆวันใดวันหนึ่ง ถ้าผมพูดผิดหูภรรยาเข้าผมก็มีความเสี่ยงมากกว่า 1% แล้ว ความเสี่ยงใดๆที่ต่ำกว่านี้ถือว่าจิ๊บจ๊อย หิ หิ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม