Latest

แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (RDBY Camp) ปรับปรุงใหม่

(ปรับปรุงครั้งสุดท้าย 7 สค. 61)

1. ความเป็นมาของแค้มป์ RDBY

        ตัวหมอสันต์เองเคยป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ความดันสูง ไขมันสูง ความที่อยากหนีจากแนวทางการรักษาแบบโรงพยาบาล (กินยา สวนหัวใจ บอลลูน ผ่าตัดบายพาส) จึงทบทวนวรรณกรรมและได้พบว่าการจัดการปัจจัยเสี่ยงของโรคโดยตัวผู้ป่วยเอง ทั้งในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การพักผ่อน ทำให้โรคดีขึ้นกว่าการรักษาในโรงพยาบาลเสียอีก จึงลงมือทำกับตัวเอง เมื่อเห็นว่าได้ผลดีจนสามารถพลิกผันโรคให้หายและเลิกกินยาความดันไขมันได้หมด จึงตัดสินใจเลิกอาชีพผ่าตัดหัวใจเปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอส่งเสริมสุขภาพ และมีความตั้งใจว่าจะเผยแพร่ความรู้วิธีพลิกผันโรคด้วยตัวเองที่พิสูจน์ได้จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันว่าได้ผลแน่ชัดแล้วนี้ให้กว้างขวางออกไปในหมู่ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลาย ทั้งในรูปแบบแค้มป์ฝึกสอน เว็บไซท์ และ เขียนบล็อก จึงได้เปิดสอนแค้มป์ RDBY นี้ขึ้น โดยสอนมาได้สองปีแล้ว

2. ประเด็นการปรับปรุงในครั้งที่ 8

     2.1. ยังคงมีปัญาหาแผนการเรียนแน่นเกินไป เวลาที่ให้กับการตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพเป็นการส่วนตัวกับหมอสันต์มีน้อยไป จึงจะลดจำนวนผู้เข้าแค้มป์อย่างเข้มงวดจริงจังเหลือไม่เกินแค้มป์ละ 15 คน ขาดได้ แต่เกินไม่ได้ และให้เวลาวันแรกทั้งวันในการให้คนไข้แต่ละคนพบกับหมอสันต์แบบหนึ่งต่อหนึ่งเพื่อเจาะลึกปัญหา ดูข้อมูล ดูยา เรียงลำดับปัญหา วางแผนรักษา และให้ข้อมูลพอที่จะให้ผู้ป่วยทำการตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีแบบไหน บอลลูนไม่บอลลูน ผ่าไม่ผ่า ให้จบก่อนที่จะเริ่มเข้าเรียน

     ทั้งหมดนี้จะเร็วขึ้นถ้าผู้ป่วยส่งข้อมูลรายละเอียดเช่นผลเลือดผลตรวจสวนหัวใจเอ็กซเรย์แล็บมาทางอีเมลเพื่อจัดทำฐานข้อมูลก่อน

     2.2. การนัดมาเข้าแค้มป์ตลอดปีเพียงสองครั้งห่างกันเกินไปทำให้ขาดแรงกระตุ้นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จึงกลับไปเพิ่มการนัดมาเข้าแค้มป์เป็นสามครั้งในหนึ่งปี

ครั้งแรก 3 วัน 2 คืน เพื่อประเมินสุขภาพรายคน ทำแผนสุขภาพรายคน
ครั้งที่สอง 1 วัน 1 คืน (จะไม่ค้างคืนก็ได้) เพื่อมาติดตามกับแพทย์แบบตัวต่อตัวเป็นเป้าหมายหลัก
ครั้งที่สาม 2 วัน 1 คืน เพื่อสรุปปิดแค้มป์

      2.3. ผมกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการจัดตั้งคลินิกบริหารสุขภาพด้วยตนเอง (Self Management Clinic) ซึ่งเป็นคลินิกอยู่บนก้อนเมฆ (cloud-based) มีแพทย์และทีมงานทำหน้าที่ช่วยให้ผู้ป่วยจัดการโรคของตนเองได้ (เช่นการลดเลิกยา) โดยใช้การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ท โดยจะให้ผู้ป่วยแค้มป์ RDBY 8/1 นี้เป็นแค้มป์แรกที่จะเข้าเป็นสมาชิกของคลินิก SMC ทุกคน จึงต้องจัดเวลาให้กับการสอนการใช้งานแดชบอร์ดทางอินเตอร์เน็ท

3. ภาพรวมของคอร์ส RDBY

     หลักสูตรนี้เป็นการใช้การแพทย์แบบอิงหลักฐาน (Evidence Based Medicine) สอนให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองเป็น (self management) ผู้ป่วยจะต้องมาเข้าแค้มป์ดังนี้

     3.1 แค้มป์ต้นคอร์ส 3 วัน สองคืน แล้วกลับไปปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้านโดยมีแพทย์และพยาบาลของเวลเนสวีแคร์เป็นพี่เลี้ยงโดยติดต่อกันทางอีเมล แดชบอร์ดบนเว็บไซท์ ไลน์ และโทรศัพท์เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นจะติดต่อกันในฐานะสมาชิก SMC คลินิก ไปอย่างต่อเนื่อง

     3.2 แค้มป์กลางคอร์ส 1 วัน 1 คืน ห่างจากแค้มป์แรกหกเดือน เพื่อให้มาติดตามผลการดูแลตัวเองกับแพทย์แบบตัวต่อตัวอีกคร้้ง 
   
     3.2 แค้มป์ปลายคอร์ส 2 วัน หนึ่งคืน หากจากแค้มป์ที่สองหกเดือน เพื่อสรุปปิดแค้มป์

     โปรแกรมนี้รับเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ไขมัน อ้วน อัมพาต โดยรับทุกระยะความหนักเบาของโรค และรวมถึงคนที่มีภาวะแทรกซ้อนของโรคเช่นเป็นไตวายเรื้อรังร่วมด้วย กรณีที่อายุมากหรือมีอาการมากที่ตามปกติต้องมีผู้ดูแลประจำตัวอยู่แล้ว ต้องให้ผู้ดูแลมาลงทะเบียนเข้าคอร์สเป็นผู้ติดตามด้วย

     แม้ว่าผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้จะมี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เป็นแพทย์ประจำตัว แต่ผู้ป่วยไม่ต้องเลิกจากแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลกันมาแต่เดิม เพราะนพ.สันต์จะทำหน้าที่เป็นแพทย์ประจำครอบครัว (family physician) และจะประสานเชื่อมโยงกับแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลผู้สมัครมาแต่เดิมให้ดูแลต่อไปในลักษณะการดูแลร่วมกัน

     ผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้ไม่จำเป็นต้องยกเลิกยาหรือการรักษาที่ตนเองได้มาแต่เดิมในขณะที่เริ่มหันมารักษาด้วยวิธีดูแลตนเอง เพราะการรักษาโรคตามโปรแกรมนี้ใช้หลักวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันเช่นเดียวกันการรักษาในโรงพยาบาล เพียงแต่มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยจนถึงระดับดูแลตัวเองได้ด้วยตนเอง จึงสามารถทำคู่ขนานไปกับการรักษาในโรงพยาบาลได้ เมื่อผู้ป่วยดูแลตนเองได้ดีขึ้น ตัวชี้วัดสุขภาพจะค่อยๆบ่งชี้ว่าความจำเป็นที่จะต้องพึ่งการรักษาด้วยยาในโรงพยาบาลจะลดลงไปเองโดยอัตโนมัติจนสามารถเลิกยาได้ในที่สุด

4. หลักสูตร (Course Syllabus) 

4.2 วัตถุประสงค์

4,2,1 ในด้านความรู้
คาดหวังให้ผู้ป่วยรู้สิ่งต่อไปนี้
a. รู้เรื่องโรคของตัวเอง ทั้งพยาธิกำเนิด พยาธิวิทยา
b. รู้จักตัวชี้วัดที่ใช้เฝ้าระวังการดำเนินของโรค
c. รู้ทางเลือกวิธีรักษาทุกวิธี และรู้ประโยชน์และความเสี่ยงของแต่ละทางเลือดอย่างละเอียด
d. รู้จักยาทุกตัวที่ตนเองได้รับ ทั้งชื่อ ขนาด วิธีกิน กลุ่มยา ฤทธิ์ยา และผลข้างเคียง
e . รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ตนเองหายจากโรค
     – ในแง่ของโภชนาการ รู้ประโยชน์ของอาหารพืชที่ไม่ผ่านการสกัดขัดสี (plant based, whole food) ที่ปรุงโดยใช้น้ำมันน้อย รู้โทษของเนื้อแดงและเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการถนอม
     – ในแง่ของการออกกำลังกาย รู้ประโยชน์และวิธีออกกำลังกายทั้งสามแบบ คือแบบแอโรบิก แบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และแบบเสริมการทรงตัว
     – ในแง่ของการจัดการความเครียด รู้ประโยชน์และวิธีจัดการความเครียดด้วยเทคนิคฝึกสติรักษาโรค ( MBT)
     – ในแง่ของการร่วมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน รู้ประโยชน์และพลังของกลุ่มและรู้วิธีทำกิจกรรมในกลุ่ม

4.2.2. ในด้านทักษะ
คาดหวังให้ผู้ป่วยสามารถทำสิ่งต่อไปนี้ด้วยตนเอง
a.       บริหารจัดการโรคของตนเองได้โดยใช้ตัวชี้วัดพื้นฐาน 9 ตัว (1) น้ำหนัก (2) ความดันเลือด (3) ไขมันในเลือด (4) น้ำตาลในเลือด (5) ตัวชี้วัดไต (6) ตัวชี้วัดตับ (7) ปริมาณผักผลไม้ที่กินต่อวัน (8) เวลาออกกำลังกายต่อสัปดาห์ (9) การสูบบุหรี่
b.       เลือกอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปในตลาดที่เป็นอาหารพืชแบบไม่สกัดไม่ขัดสีได้
c.       ผัดทอดอาหารโดยใช้น้ำหรือใช้ลมร้อนแทนน้ำมันได้
d.       อบถั่วและนัทไว้เป็นอาหารว่างเองได้
e.       ทำเครื่องดื่มจากผักผลไม้โดยไม่ทิ้งกากด้วยตนเองได้
f.        ประเมินสมรรถนะร่างกายของตนเองด้วยการสังเกตอัตราการหายใจ การนับชีพจรจากเครื่องช่วยนับ และการทำ One milk walk test ให้ตัวเองได้
g.       ออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้ด้วยตนเอง อย่างน้อย 1 วิธี
h.       ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้ท่ากายบริหาร ดัมเบล สายยืด และกระบอง ได้ด้วยตนเอง
i.         ออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัวได้ด้วยตนเอง
j.         สามารถกำกับดูแลท่าร่าง (posture) ในชีวิตประจำวันของตนเองได้
k.       ผ่อนคลายความเครียดเฉียบพลันด้วยเทคนิค relax breathing ได้
l.         จัดการความเครียดในชีวิตประจำวันด้วยการฝึกสติแบบ MBT ได้
m.     สามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งในเชิงเป็นผู้เปิดแชร์ความรู้สึกและเป็นผู้ให้การพยุงได้

4.2.3    ในด้านเจตคติ
คาดหวังให้ผู้ป่วยเกิดเจตคติต่อไปนี้
a.       มีความมั่นใจว่าตนเองมีอำนาจ (empowered) ที่จะดลบันดาลให้โรคของตัวเองหายได้
b.       มีความมุ่งมั่นในพันธะสัญญา (commitment) ที่จะเป็นผู้ดูแลตนเองไม่ให้เป็นภาระแก่คนอื่น
c.       มีความอยาก (motivated) ที่จะมีชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความสุข

5. ตารางกิจกรรม

วันที่ 1. (แค้มป์ต้นคอร์ส)

8.00-14.00 Registration
ลงทะเบียนเข้าแค้มป์ เช็คอินเข้าห้องพัก วัดดัชนีมวลกาย วัดความดันเลือด จัดทำเวชระเบียนส่วนบุคคล ตรวจร่างกายและวางแผนจัดการโรคร่วมกับแพทย์ (คนละ 20 นาที) พักรับประทานอาหารว่างและอาหารกลางวันในขณะผลัดกันเข้าพบแพทย์
14.00 – 15.30
Getting to know each other ทำความรู้จักกันและเรียนรู้เรื่องโรคของกันและกัน
15.30 – 16.30
Briefing. Plant-based, whole food บรรยายเรื่องโภชนาการที่มีพืชเป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี
16.30-17.30
Tea break & Workshop: Shopping wisely พักรับประทานน้ำชา และทำเวอร์คชอพจ่ายตลาดฉลาดซื้อ
17.30-18.00
Garden tour เดินเล่น ทัวร์สวนผักและพืชสมุนไพร
18.00 – 20.00
Dinner and peer support group activity อาหารเย็นและกิจกรรมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน

วันที่ 2. (แค้มป์ต้นคอร์ส)

6.30 – 7.30
Workshop: – Aerobic exercise and One milk walk test ฝึกออกกำลังกายแบบแอโรบิก และประเมินสมรรถนะร่างกายตนเองด้วยวิธีเดินหนึ่งไมล์
7.30 – 9.00
Breakfast and personal time – รับประทานอาหารเช้า อาบน้ำ และพักผ่อนส่วนตัว
9.00 – 10.00
Self management for heart disease จัดการโรคหัวใจขาดเลือดด้วยตนเอง
10.00 – 10.30
Workshop: Blood pressure measurement ฝึกปฏิบัติ วิธีวัด บันทึก และวิเคราะห์ความดันเลือด
10.30 – 10.45
Tea break พักดื่มน้ำชา
10.45 – 11.30
Self management for hypertension จัดการโรคความดันเลือดสูงด้วยตนเอง
11.30 – 13.00
Workshop: Plant-based, no oil cooking class ชั้นเรียนทำอาหารแบบพืชเป็นหลัก โดยไม่ใช้น้ำมัน และรับประทานอาหารกลางวันที่ตนเองทำ
13.00 – 14.00
Weight loss การลดน้ำหนัก
14.00 – 15.00
Self management for diabetese จัดการโรคเบาหวานด้วยตนเอง
15.00-15.15
Tea break พักดื่มน้ำชา
15.15 – 16.30
Workshop: Muscle relaxation การฝึกปฏิบัติผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
16.30 – 17.30
Workshop: Strength training การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยดัมเบลและสายยืด

18.30 – 20.00 Dinner and peer support group activity อาหารเย็นและกิจกรรมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน

วันที่ 3. (แค้มป์ต้นคอร์ส)

6.30 – 7.30
Workshop: Mindfulness movement exercise (Tai Chi) ฝึกสติด้วยวิธีตามรู้การเคลื่อนไหวแบบ Tai Chi
7.30 – 9.00
Breakfast and personal time รับประทานอาหารเช้าและทำกิจส่วนตัว
9.00-10.30
Workshop: Self Management (SM) การฝึกใช้ดัชนี 7 ตัวจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพด้วยตนเอง
10.30 -12.00
Tea break พักดื่มน้ำชา ในชั้นเรียน HRM
12.00-13.00
Lunch รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-13.45
Workshop: AED and CPR ฝึกปฏิบัติการใช้เครื่องช็อกหัวใจด้วยไฟฟ้าและการปั๊มหัวใจ
13.45-14.15
Workshop:Peer support group meeting ประชุมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน
14.15-16.00
Workshop: Self management seminar ถามตอบการจัดการโรคทุกประเด็น
16.00
ปิดแค้มป์

6. ความปลอดภัยขณะเข้าแค้มป์

     ผู้ป่วยที่มาเข้าโปรแกรมนี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยหนัก บ้างทำผ่าตัดบายพาสมาแล้ว บ้างทำบอลลูนมาแล้วคนละครั้งสองครั้ง บ้างแค่เดินสองสามก้าวก็หอบหรือเจ็บหน้าอกแล้ว ความกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องธรรมดา ตัวหมอสันต์เองเป็นหมอผ่าตัดหัวใจมาก่อน จึงละเอียดรอบคอบและไม่ประมาทในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วย การเตรียมการด้านความปลอดภัยขณะเข้าแค้มป์ทุกครั้งรวมไปถึงการมีอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อรับมือกับภาวะฉุกเฉินได้เทียบเท่ากับห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั่วไป รวมทั้งขีดความสามารถที่จะเปิดหลอดเลือดให้น้ำเกลือหรือยาทางหลอดเลือดดำได้ทันที ขีดความสามารถที่จะใส่ท่อช่วยหายใจและช่วยการหายใจในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนั้นยังมีขีดความสามารถที่จะช็อกไฟฟ้าหัวใจในกรณีฉุกเฉิน โดยมีแพทย์หรือพยาบาลผู้ป่วยวิกฤติอยู่ประจำในแค้มป์ 24 ชั่วโมง ตลอดการฝึกอบรม

     ที่เล่าทั้งหมดนี้ให้ฟังอาจจะมีผลเสียทำให้เข้าใจผิดว่าการจะปรับวิถีชีวิตเพื่อพลิกผันโรคให้ตัวเองนั้นเป็นเรื่องอันตราย ความเป็นจริงไม่ใช่เลย การปรับการใช้ชีวิตทั้งอาหารและการออกกำลังกายเพื่อดูแลตัวเองให้ได้นั้นเป็นกลไกรักษาโรคตามธรรมชาติ มีอันตรายน้อยกว่าการรักษาด้วยยา บอลลูน หรือผ่าตัดในโรงพยาบาลอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่หมอสันต์จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยในแค้มป์ให้มากเกินความจำเป็นไว้สักหน่อย เพียงเพื่อให้ผู้ป่วยหนัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการเข้าแค้มป์ กล้ามาเข้าแค้มป์เท่านั้นเอง

6. การลงทะเบียนเข้าแค้มป์ RDBY

ลงทะเบียนผ่านเว็บไซท์ได้ที่

https://www.wellnesswecare.com/th/static/program-calendar

ในกรณีที่มีปัญหาไม่สามารถสมัครทางเว็บไซท์ได้ กรุณาติดต่อคุณเอ๋ย เบอร์ 0636394003 แล้วโอนเงินเข้าบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกสิกรไทย สาขาสมุทรปราการ ชื่อบัญชี  บริษัท เมก้า วี แคร์ จำกัด เลขที่บัญชี 007-368-5478

7. ราคาค่าลงทะเบียน

     ค่าลงทะเบียนสำหรับตลอดคอร์ส (หนึ่งปี) คนละ 25,000 บาท ค่าลงทะเบียนนี้รวมถึงใช้จ่ายในการเข้าแค้มป์กินนอนรวม 3 ครั้งและการติดตามตลอดหนึ่งปี แต่ละครั้งครอบคลุมถึงค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าวิทยากร ค่าอุปกรณ์การฝึกทักษะ ค่าตรวจร่างกาย ค่าใช้จ่ายในการติดตามโดยแพทย์และพยาบาลเมื่อออกจากแค้มป์กลับไปอยู่บ้าน ค่าบริการฐานข้อมูลติดตามตัวชี้วัดทางอินเตอร์เน็ท (personal ้health dashboard) เป็นต้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงค่าเดินทางไปและกลับระหว่างบ้านกับแค้มป์ (ผู้ป่วยไปเองกลับเอง) ไม่ครอบคลุมค่ายาและค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคลใดๆทั้งสิ้น

     กรณีเป็นผู้ดูแลหรือ caregiver ก็ต้องลงทะเบียนเรียนเหมือนผู้ป่วยทุกอย่างแต่ลดค่าลงทะเบียนเหลือ 15,000 บาท เพราะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนการติดตามดูหลังเข้าแค้มป์

8. ระยะก่อนเข้าแค้มป์ (Pre-camping preparation) 

     ผู้ป่วยทุกท่านที่ได้รับเข้าโปรแกรมแล้ว จะต้องจัดส่งข้อมูลโรคของตนมาให้แพทย์วิเคราะห์ทางอีเมล somwong10@gmail.com (ที่เดียวเท่านั้น) ก่อนที่จะเริ่มเปิดแค้มป์ โดยอย่างน้อยต้องส่งข้อมูลพื้นฐานซึ่งจะใช้เป็นตัวชี้วัดในโปรแกรมต่อไปนี้มาด้วย คือ

8.1 วันเดือนปีเกิด
8.2 เพศ
8.3 ส่วนสูง
8.4 น้ำหนัก
8.5 ความดันเลือด
8.6 น้ำตาลในเลือด (FBS) หรือน้ำตาลสะสม (HbA1C)
8.7 โคเลสเตอรอลรวม
8.8 ไตรกลีเซอไรด์
8.9 ไขมันดี (HDL)
8.10 ไขมันเลว (LDL)
8.11 ตัวชี้วัดการทำงานของไต (eGFR หรือ Cr)
8.12 เอ็นไซม์แสดงการทำงานของตับ (SGPT)
8.13 การวินิจฉัย (ชื่อ) โรคทุกโรคที่รักษาอยู่ในปัจจบัน และอาการป่วยทุกอาการที่มีในปัจจุบัน
8.14 ยาทุกตัวที่กินอยู่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งขนาด และวิธีกิน
8.15 ผลการตรวจจำเพาะต่างๆ ถ้ามี เช่น ผลการตรวจเลือดอื่นๆ ภาพเอ็กซเรย์ปอด ผลตรวจสมรรถนะหัวใจ (EST) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผลการตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยคอมพิวเตอร์ (CTA) ผลการตรวจสวนหัวใจ (CAG) ผลการตรวจผลการตรวจ CT สมอง โดยกรณีเป็นภาพหากส่งเป็นไฟล์ดิจิตอลได้ก็จะเป็นพระคุณ แต่หากส่งไม่ได้จะเอาโทรศัพท์ถ่ายแล้วส่งไฟล์รูปมาก็ได้ กรณีเป็นใบรายงานผลให้เอาโทรศัพท์ถ่ายใบรายงานแล้วส่งไฟล์มาก็ได้
8.16 คำบอกเล่าลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน เน้นที่
(1) การบรรยายลักษณะอาหารที่กินแต่ละมื้อทุกมื้อ
(2) การออกกำลังกายที่ทำในแต่ละวัน
(3) วิธีจัดการความเครียดที่ใช้อยู่ประจำ
(4) ความกังวล (concern) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ หากมีอยู่ในใจก็ให้แจ้งมาให้หมอสันต์ทราบด้วย

9.  สถานที่เรียน คือ เวลเนสวีแคร์เซ็นตเตอร์ (มวกเหล็ก-เขาใหญ่) ตามแผนที่ข้างล่างนี้

10. การติดตามหลังปิดคอร์ส (Post program follow up)

    10.1 เมื่อปิดโปรแกรมไปแล้ว ศิษย์เก่าทุกคนจะยังคงเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนซึ่งจะยังติดต่อสื่อสารและนัดหมายพบปะช่วยเหลือกัน และพบกันตามอัธยาศัย
     10.2 ศิษย์เก่าแต่ละคนจะใช้แดชบอร์ดส่วนตัวของคลินิก SMC ในการติดตามดูสุขภาพของตนเองต่อเนื่องไปได้ โดยแพทย์หรือพยาบาลประจำตัวผู้ป่วยจะเข้ามาเช็คแดชบอร์ดของแต่ละคนเป็นครั้งคราว เพื่อตอบคำถามและให้คำแนะนำเท่าที่จำเป็น
     10.3 ศิษย๋เก่าสามารถรับข่าวสารของโปรแกรมได้จากจดหมายข่าว ซึ่งจะส่งไปให้ศิษย์เก่าเดือนละครั้ง
     10.4 ในกรณีที่มีปัญหาเร่งด่วนที่รอการสื่อสารผ่านแดชบอร์ดไม่ได้ ศิษย์เก่าสามารถโทรศัพท์หรือเขียนอีเมลมาหาแพทย์หรือพยาบาลประจำตัวได้ทันที
     10.5 หลังปิดโปรแกรมไปแล้ว ศิษย์เก่าไม่ต้องชำระค่าลงทะเบียนใดๆอีก ยกเว้นกรณีที่สมัครมาเข้าแค้มป์ทบทวนทักษะซ้ำ หรือเข้าแค้มป์กิจกรรมต่างๆที่ศูนย์เวลเนสวีแคร์จัดขึ้น ซึ่งต้องจ่ายค่าลงทะเบียนในอัตราที่ได้ส่วนลดเฉพาะสำหรับศิษย์เก่า

(รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็นและความต้องการของผู้เรียนแต่ละแค้มป์)