Latest

พฤติกรรมการกินของเด็ก ขึ้นอยู่กับพ่อแม่จัดให้

กราบเรียนคุณหมอสันต์
ขอบพระคุณคุณหมอที่เขียนบลอก หนูรู้จักจากคนส่งไลน์มาให้ หลังจากนั้นก็ติดตามอ่านตลอดมา หนูอายุ 39 ปี เป็นมะเร็งปากมดลูก ผ่าตัดแล้ว ส่วนคุณแม่ของหนูเป็นมะเร็งเต้านม ผ่าตัด ฉายแสง คีโม ครบชุด มะเร็งกัดกินครอบครัวของเรามากมายสุดบรรยาย หนูมีลูกสาวสองคน คนหนึ่ง 6 ขวบ อีกคนหนึ่ง 4 ขวบ บ่อยครั้งที่มีใจกังวลว่าหนูกลัวลูกๆจะเป็นมะเร็ง หนูควรทำอย่างไรพวกเขาจึงจะไม่เป็นมะเร็งเหมือนอย่างหนูกับแม่คะ

……………………………………………

ตอบครับ

    วงการแพทย์ยังไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้เป็นมะเร็ง รู้แต่ว่าปัจจัยเสี่ยงมาจากสองด้านคือกรรมพันธุ์กับสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์นั้นเรารู้แล้วว่ายังถูกบิดผันต่อไปได้อีกด้วยสิ่งแวดล้อม หมายความว่ายีนมะเร็งนั้นยังถูกปิดสวิสต์ (down regulation) หรือเปิดสวิสต์ (up regulation) ด้วยสิ่งแวดล้อม ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่สุดคือสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่วงการแพทย์ทราบแน่ชัดว่าสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งคือ

     (1) อาหารที่เรากินเข้าไป และ

    (2) สารพิษในสิ่งแวดล้อม

     การจะช่วยป้องกันลูกสาวไม่ให้เป็นมะเร็งในขอบเขตที่คุณทำได้คือเล่นกับสองปัจจัยนี้ ซึ่งผมจะขอเน้นเรื่องอาหาร เพราะเป็นอะไรที่เราเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด

     วงการแพทย์รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาหารเนื้อสัตว์กับการเป็นมะเร็งนั้นชัดเจนแน่นอนแล้วในเชิงวิทยาศาสตร์ องค์การอนามัยโลกถึงกับประกาศโต้งๆเลยว่าเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรับแต่งถนอมหรือ processed meat เช่นไส้กรอก เบคอน แฮม เป็นสารก่อมะเร็งระดับเดียวกับบุหรี่ คือระดับ 1A ส่วนเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือ red meat เป็นสารก่อมะเร็งระดับรองลงไปคือระดับ 2A  ทางด้านสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (NCI) ซึ่งได้ทุ่มเทวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับการเป็นมะเร็งไปแล้วเป็นอย่างมากก็ได้สรุปแนวทางอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งว่าต้องเป็นอาหารที่มีพืชเป็นหลัก

     แต่พอเราจะมาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นมะเร็งแล้วให้ลดการกินเนื้อสัตว์มากินพืชเป็นหลักก็พบว่ามันยากเย็นอย่างยิ่ง เพราะอาหารมันก็คือสิ่งเสพย์ติดอย่างหนึ่ง กลไกการเสพย์ติดมันก็เหมือนกับกลไกการติดยาเสพย์ติดทั้งหลายนั่นแหละ คือเป็นกลไกการออกฤทธิ์ผ่านตัวรับโดปามีนในสมอง การจะเลิกมันก็ต้องมีอาการลงแดง (withdrawal symptom) ซึ่งคนส่วนใหญ่จะผ่านช่วงลงแดงนี้ไปไม่ได้ก็จึงปล่อยตัวเองเลยตามเลย ตายเป็นตาย เหมือนคนติดยาที่หมดความพยายามที่จะเลิกเพราะมันทนการลงแดงไม่ไหว การจะป้องกันไม่ให้ลูกเสพย์ติดอาหารที่ทำให้เป็นมะเร็ง ต้องทำตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ตั้งแต่แรกเริ่มลิ้มรสอาหารธรรมชาติ หมายความว่าตั้งแต่แบเบาะไม่ทันหย่านมแม่ได้ยิ่งดี คือยิ่งเริ่มเร็วเท่าใดก็ยิ่งมีโอกาสสร้างพฤติกรรมการกินที่ถาวรได้มากเท่านั้น

     งานวิจัยพฤติกรรมการกินหรือความชอบในอาหารของเด็กพบว่ามีปัจจัยกำหนด ดังนี้

     (1) ยีนของเขาเองซึ่งเป็นพันธุกรรม แต่ว่าตรงนี้คุณอย่าไปให้ราคามาก เพราะในความเป็นจริงพันธุกรรมมีความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งประมาณ 5% เท่านั้นเอง นอกจากนั้นแม้จะมีพันธุกรรมแล้ว มันยังถูกบิดผันโดยสิ่งแวดล้อมได้อีกอย่างที่ผมกล่าวข้างต้นแล้ว

     (2) พฤติกรรมการกินของพ่อแม่และครอบครัว ซึ่งรวมไปถึงไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่ที่เกี่ยวกับการกินด้วย เพราะเด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมการกินการดื่มการสูบของพ่อแม่

     (3) พฤติกรรมการกำกับดูแลของพ่อแม่ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เกิดผลเสีย เช่นควบคุมมากไป บังคับให้กิน ห้ามกิน ลงโทษ ให้รางวัล แบบเว่อเกินไปเป็นต้น

     (4) การรู้จักเลือกให้อาหารที่ทำให้เกิดความอิ่มง่ายแต่ไม่ได้แคลอรี่มาก ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นอาหารที่มีพืชเป็นหลัก (plant based) และต้องเป็นพืชในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ (whole food) คือถ้าเป็นธัญพืชก็ไม่ได้ขัดสีเอากากออกหรือผิวนอกออกจนหลือแต่แป้ง ถ้าเป็นอาหารให้แคลอรี่ก็ต้องอยู่ในรูปแบบเต็มๆพร้อมทั้งกากตามธรรมชาติ ไม่ใช่สกัดหรือหีบเอามาแต่แคลอรี่เน้นๆอย่างน้ำมันที่ใช้ผัดทอดอาหาร หรืออย่างน้ำตาลทรายที่ใช้สร้างรสหวานให้เครื่องดื่มต่างๆ

     (5) การสอนให้ควบคุมใจตัวเองในเรื่องการกินให้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

ทั้งหมดนี้ก็คือความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่วงการแพทย์ในเรืื่องการปรับเปลี่ยนอาหารของเด็กเพื่อป้องกันมะเร็ง คุณลองเองไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Scaglioni S1, Arrizza C, Vecchi F, Tedeschi S. Determinants of children’s eating behavior. Am J Clin Nutr. 2011 Dec;94(6 Suppl):2006S-2011S. doi: 10.3945/ajcn.110.001685.