Latest

อายุสามสิบกว่า จั่วไพ่ แล้วเป็นอัมพาต

เรียน คุณหมอ
    ตั้งแต่ผมป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตกเห็นหมอที่สวิสบอกว่าเเตกตั้ง 5.5 ซม.ที่สมองส่วนหน้าถึงส่วนข้างด้านซ้าย มันทำให้อวัยวะด้านขวาขยับไม่ได้ (แต่ตรงกลางยังขยับได้555) แต่ที่เซ็งสุดๆก็คือส่วนสื่อสารทั้งพูด ทั้งฟัง ทั้งเขียนเเละอะไรเรียกอะไรก็คิดไม่ออก ตัวเองชื่ออะไรก็คิดไม่ออก แต่หมอสวิสก็ไม่ได้ผ่าสมองเอาเลือดออก ลืมไปผมไม่ได้เงินเหลือต้องบินไปรักษาตัวที่สวิสเซอร์แลนด์หรอก ผมมาทำงานเป็นดีเจที่สวิสเซอร์แลนด์ในคาราโอเกะที่มีคนไทยเป็นเจ้าของกิจการ  มาถึงเรื่องอม 2 ตัว จะเล่าให้คุณหมอรวมทั้งญาติโยนแฟนคลับพอสังเขป เมื่อ 5 ปีก่อนที่สวิส วันศุกร์เสาร์แหล่งบันเทิงปิดได้ตี 5 (พักผ่อนน้อย) แฟนคลับผมมากันเพียบ (ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2 เเก้วฮิฮิ 4 คนวิสกี้ 4 ขวด) ร้านปิดก็หิว ม่าม่าไส่ไส้กรอก (กินเค็มกินเนื้อแดงแปรรูป) เพื่อนมันบอกว่า “ขาครบพอดี” นั่นเเน่ สนามเหย้าผมไม่กลัวหรอกแต่เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาก่อน ผมจำได้ตามันเบลอๆ พอล้างหน้าอยู่เลือดกำเดาก็หยดติ๋ง (ความดันกำลังขึ้นสูง) ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นโซดาไม่สั่งน้ำแข็ง555 เล่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น เเละเเล้วเกมส์สุดท้ายที่เล่นกันไม่มีวันจบก็เกิดขึ้น ผมจำได้เเม่นไม่ลืม ผมจั่วเเม่นๆจั่ว 4 ทีก็ถือตอง 2 กับตอง Q คนเล่นไพ่เป็นบอกว่า ”เฮ้ย..ก็หาดำมี่เเล้วดิ” เลือดลมมันพุ่งพล่าน ( ควบคุมความเครียดไม่ดี ) ทันใดนั้นเองไพ่ก็หล่นผมหยิบอยู่ 2-3 ที ก็หยิบไม่ได้ เฮ้ย..ผีอำ ผมจะบอกเพื่อนว่าหยิบให้หน่อยก็พูดไม่ได้ ไม่เป็นภาษาคน เอาแล้วไม่ใช่ผีอำ ทำให้ผมนึกไปเรื่อย นอกจากปัจจัยที่ว่ามาแล้วยังมี 1. อายุที่มากขึ้น [ตอนเป็น38ปี] กอปรกับใช้ชีวิตสมบุกสมบัน 2.ไขมันในเลือดสูง ดูได้จากดัชนีมวลกาย 29 นิดๆ แถมลงพุงนิดๆ 3. ผมไม่สูบบุหรี่ 4. ผมไม่เป็นเบาหวานครับ 2 ข้อสุดท้ายไม่เพียงพอที่จะทำให้ผมพ้นจาก strokeไปได้. ผมอยู่ห้อง icu 10 วันอยู่ห้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดอีก 22 วันเเล้วถึงจะไปทำกายภาพบำบัดแล้วติดตามเรื่องยาเรื่องอาหารตั้งแต่ป่วยจนถึงออกจากโรงพยาบาล 5 เดือน ก่อนออกหมอสวิสพูดฝรั่งเศสจ้อยๆสรุปว่า 1. ผมต้องใช้ไม้เท้าเเบบ3ขา 2. ผมจะพูดไม่ได้หรือได้ก็น้อยมาก 3. ผมจะเขียนไม่ได้ 4. ผมต้องกินยาตลอดชีวิต ข้อ 5 นี่ไม่ใช่ผมคิดเองนะครับ เห็นหมอฝึกหัดเด็กๆสาวๆปรามาสว่าผมไม่สามารถมีลูกได้ [หูเเว่วเองมั้ง] ผ่านมา 6 ปี 1.ผมเดินได้เองสามารถขึ้นลิฟต์เอ้ยขึ้นลงบันไดเองได้ รอปีหน้าจะวิ่งเองได้เเล้ว [คุยๆ] 2. ผมพูดไทยได้ 90% อังกฤษ70% ฝรั่งเศษ70% 3. ผมเขียนได้ทั้ง 3 ภาษา เห็นไหมผมยังเขียนถึงคุณหมอเลย ยาวด้วย คุณหมอเบื่อหรือยัง ถ้าเบื่อแล้วผมก็ยังจะเล่าต่อ 4. ก่อนออกจากโรงพยาบาลผมกินยา
-Enalapril  20mg*2 times
-Amlodipin 10mg*1 time
-Metoprolol 200mg*1 time
ทั้งหมดเป็นยาความดัน เเละความดันของผมเมื่อป่วยใหม่ๆกินยาเเละขนาดตามนี้อยู่ที่ 125/82 เมื่อ 3 ปีก่อนผมก็ได้อ่านข้อเขียนของคุณหมอสันต์เจ้าของวลีที่ว่า “หมอที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง” หมอมีหน้าที่แนะนำส่วนคนทำต้องตัวคุณเอง ผมได้ทำเคล็ดลับ 7 ข้อของหมอสันต์ได้ปีหนึ่งแล้ว Oh, my god ผมแทบจะลดยาไม่ทัน เเล้วเกรงใจหมอสวิส [ดินเเดนเเห่งโรงงานอุตสาหกรรมยา] หลังสุดผมลดยา Amlodipin เป็น 5 mg แล้วลดยา Metoprolol เป็น 100 mg ส่วน Enapril กินเหมือนเดิม เป็นเวลา 3 เดือน แล้ววัดความดันทุกวัน ค่าเฉลี่ย 105/74
ผมคิดว่าตัวบนมันต่ำไปหรือหมอคิดว่ายังไงครับ ถ้าอย่างนั้นจะลดยาตัวไหนได้อีก เป้าหมายความดันเป็นเท่าไรถึงจะดี
หมอครับถึงผมจะป่วยเฉียดตายมาเเล้ว ปีสองปีมานี่ละครับผมรู้สึกว่ากายมันไม่ใช่ของเราจริง เเม้นจิตจะไม่ได้รู้สึกตลอดเวลาแต่ทางมันมาแล้ว MBT  จึงส่งประสบการณ์มาให้คุณหมอช่วยแชร์เเละช่วยตอบให้ด้วย
ขอบคุณครับ
ฟ้อง; เมื่อ4ปีก่อน หลังจากที่ผมมาพักผ่อนอยู่บ้าน หมอสวิสก็เรียนเชิญให้ผมไปฉีดสีสวนหัวใจทั้งที่ผมไม่เคยเจ็บหน้าอกเลยเเม้สักครั้งหนึ่งดีที่มันฟรีนะ สวัสดิการที่สวิสเซอร์แลนด์ใครป่วยฟรี ผลออกมาว่าเส้นเลือดหัวใจไม่เป็นอะไรเลย ดีนะตรวจค่าไตยังสมบูรณ์ดี เเต่ถ้าค่าไตเสื่อมจะฟ้องหมอสันต์ เอ๊ย..หมอสวิสเรียกสัก10ล้านฟรังส์555
ขอแสดงความนับถือ
DJ  สวิส

………………………………………….

ตอบครับ

     1. ถามว่าเป็นอัมพาตเฉียบพลันมาแล้ว ดูแลตัวเองจนลดยาความดันได้เรื่อยมาจนความดันเหลือ 105/74 จะลดยาต่อได้ไหม ตอบว่าได้ครับ โดยตัวแรกที่ควรจะเลิกไปก่อนคือ Amlodipine เพราะยานี้ไม่ได้ทำให้คนกินอายุยืนยาวขึ้นแต่อย่างใด อีกสองตัวหลัง (metoprolol และ enalapril) ขึ้นอยู่กับว่าชีพจรช้ามากหรือเปล่า ถ้าไม่ช้ามาก (ไม่ต่ำกว่า 60) ให้ลดและเลิก enalapril ก่อน เพราะมีผลข้างเคียงมากกว่า
     2. ถามว่าคนเป็นอัมพาตเฉียบพลันมาแล้ว ควรรักษาความดันเลือดไว้เท่าใด ตอบว่าคำแนะนำมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วโลกคือควรรักษาความดันไว้ไม่ให้เกิน 130/80 มม. ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เข้มกว่าคนทั่วไปในวัยนี้ที่แพทย์ยอมรับความดันเลือดที่ระดับ 140/90 มม.

     หมดคำถามแล้วนะ ขอขอบคุณ คุณ DJ ที่เขียนมาแชร์ประสบการณ์ ในโอกาสนี้ ผมอยากจะชี้ประเด็นให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นได้เห็น ดังนี้

     1. คุณ DJ นี้เป็นอัมพาตเฉียบพลันเมื่ออายุสามสิบกว่า โรคหลอดเลือดไม่ว่าจะที่สมองหรืือที่หัวใจ ตอนนี้ได้ลดอายุมาแสดงอาการที่อายุระดับสามสิบ+ มากขึ้นๆ ไม่เฉพาะคนไทยที่อยู่อาศัยในเมืองฝรั่งเท่าน้ั้น คนไทยที่อยู่ในเมืองไทยก็ไม่แพ้กัน

     2. ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแต่ละตัวเป็นอิสระต่อกัน ยิ่งมีหลายตัวยิ่งมีโอกาสเป็นโรคมาก แต่ไม่ต้องมีครบทุกตัวก็เป็นโรคได้ กรณีของคุณ DJ นี้คือมีปัจจัยเสี่ยงหลักคือ อ้วน และไขมันในเลือดสูง แค่นี้ก็เป็นโรคได้แล้ว

     ปัจจัยเสี่ยงตัวเอ้อื่นๆคือโรคความดันเลือดสูง สูบบุหรี่ เป็นเบาหวาน การไม่ได้ออกกำลังกาย การเป็นโรคติดเชื้อหรือม่ีการอักเสบในร่างกาย การมีสารพิษรวมทั้งโฮโมซีสเตอีนคั่งค้างในร่างกาย

     3. สถิติพบว่าการอดนอนเป็นปัจจัยกระตุ้น (trigger) ให้เกิดอัมพาตเฉียบพลัน กรณีคุณ DJ นี้เป็นตัวอย่างที่ดี ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆนอกจากการอดนอนได้แก่ (1) ความเครียดเฉียบพลัน (2) ร่างกายขาดน้ำ (3) กินเกลือมาก (4) กินไขมันมาก (5) มีระดับสารพิษในเลือดเช่นสารพิษจากบุหรี่หรือยาฆ่าแมลงสูง

     4. งานวิจัยพบว่าอาหารเนื้อสัตว์ที่ปรับแต่งถนอมหรือ processed meat (ไส้กรอก เบคอน แฮม) และเนื้อแดง หรือ red meat (หมายถึงเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเนื้อหมูเนื้อวัว) และไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ของสัตว์สัมพันธ์กับการเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ซึ่งคุณ DJ ก็เป็นตัวอย่าง สูตรมาม่าใส่ไข่ใส่ไส้กรอกนี้เป็นสูตรยอดนิยมสำหรับคนไทยในต่างประเทศ ผมอยากจะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นมามาต้มใส่ผักอย่างเช่นบร็อคโคลี่ กล่ำปลี แครอท และถั่ว แทนดีกว่า

     5. คุณ DJ ฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาจากการเป็นอัมพาตระดับรุนแรงได้อย่างสวยงามโดยการบริหารดัชนีง่ายๆเจ็ดตัวด้วยตนเอง (น้ำหนัก ความดัน ไขมัน น้ำตาล การกินผักและผลไม้ การออกกำลังกาย การหยุดบุหรี่) เป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับคนที่ยังไม่เคยใช้ดัชนีง่ายๆเจ็ดตัวหรือ Simple Seven นี้

      6. คุณ DJ เล่าว่าหลังเป็นอัมพาตแล้วแพทย์ทำการตรวจสวนหัวใจทั้งๆที่ไม่มีอาการอะไร นั่นเป็นการแพทย์ในทิศทางมุ่งค้นหาโรคและการวินิจฉ้ัยโรคด้วยหวังว่าจะได้รีบรักษาเสียแต่ต้นมือ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของแพทย์แผนปัจจุบันทั่วโลก แค่ความเป็นจริงผลวิจัยที่แน่ชัดแล้วกลับพบว่าการค้นหาโรคก็ดี การวินิจฉัยโรคไม่ติดต่อเรืื้อรังให้ได้ตั้งแต่ต้นมือก็ดี สามารถลดอัตราตายได้น้อยมาก กล่าวคือหากพบโรคแล้วมีการใช้ยาและการผ่าตัดหรือทำหัตถการอย่างครบเครื่องจะลดอัตราตายก่อนวัยอันควรได้เพียง 20-30% ขณะที่การลงมือจัดการปัจจัยเสี่ยงง่ายๆ 7 ตัวข้างต้นด้วยตัวผู้ป่วยเองจะลดอัตราตายก่อนวัยอันควรได้ถึง 91% ดังนั้นเมื่อท่านผู้อ่านสงสัยว่าท่านจะป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรืื้อรังหรือเปล่า ไม่ต้องไปขวานขวายเสาะแสวงหาการตรวจวินิจฉัยที่วิลิศมาหราอะไร แต่ให้ท่านลงมือจัดการปัจจัยเสี่ยงด้วยตัวของท่านเองโดยอาศัยดัชนีง่ายๆเจ็ดตัวนับตั้งแต่เดี๋ยวนั้นเลย จึงจะได้ชื่อว่าเป็นการใช้ความรู้วิทยาศาสตร์อย่างเป็นมวยที่สุด

    7. หลังจากมีประสบการณ์เฉียดตายมาเเล้ว คุณ DJ เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเราจริงๆ สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นไม่ต้องรอให้มีประสบการณ์เฉียดตายก่อนหรอกครับ ผมแนะนำให้ “ลองเป็น” ดูก่อน เราเป็นอย่างนั้นจริงหรืือไม่จริงก็ยังไม่รู้ แต่ขอให้ลองเป็นดูก่อน หมายถึงว่าลองเป็น “ความรู้ตัว” ที่มองเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราดูก่อน

     นอกจากจะมองเห็นว่าร่างกายนี้จะไม่ใช่ “ตัวเรา” แล้ว ยังต้องเห็นว่าไม่ใช่ “ของเรา” ด้วยนะ เพราะ “ความรู้ตัว” เป็นความว่างที่ไม่มีความคิดหรือคอนเซ็พท์ใดๆทั้งสิ้นรวมทั้งคอนเซ็พท์ของการเป็นเจ้าของก็ไม่มี

     ลองเป็นดูก่อน ลองเป็นบ่อยๆเข้าท่านก็จะเริ่ม “เป็น” จริงๆ นี่เป็นทางลัดสู่ความหลุดพ้นที่เร็วที่สุด ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้..เชื่อผม เพราะการจะรู้จักความรู้ตัวในระดับลึกๆแล้วไม่อาจรู้ได้ด้วย “การคิด (thinking)” นะ แต่รู้ได้เพราะการ “เป็น (being)” เท่านั้น ตรงนี้ผมอาจจะเขียนยากเกินไป แต่ไม่อาจเขียนให้ง่ายกว่านี้ ได้แต่ขอท้าให้ท่านผู้อ่าน “ลองเป็น” ดูก่อน อย่าเอาแต่ตั้งข้อสงสัย..ให้ลองดูก่อน แล้ววันหนึ่งท่านจะถึงบางอ้อเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์