Latest

การสังเกตความคิด เป็นคนละเรื่องกับโรคจิตสองขั้ว (bipolar disorder)

สวัสดีค่ะอ.หมอสันต์
มีความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นอัจฉริยะของคน เช่นนักดนตรีชื่อก้องโลกอย่างบีโธเฟน โมสาส หรือที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างYann Tiersen ชาวฝรั่งเศสที่มีความสามารถเล่นดนตรีได้หลายอย่าง ร้องเพลงก็ได้ด้วย หรือ พวกนักวิทยาศาสตร์ เช่นไอสไตน์ หลุยปาสเตอร์ กาลิเลโอ ฯลฯ การที่ท่านเหล่านี้คิดค้นนวัตกรรม หรือประดิษฐ์อะไรขึ้นมา หรือมีความสามารถรอบด้านเป็นพิเศษ เกิดจากอะไร อย่างไร หรือเป็นเพราะว่า พวกเขาเหล่านี้ มีปัญญาญาณหรือเข้าถึงได้ จึงมีพรสวรรค์ต่างๆขึ้นมาหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ความรู้ตัวหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีย่อมเกิดขึ้นตามไปด้วย ใช่หรือไม่ แต่บางท่านยังมีความหลงผิดไปบ้างเช่นเสพสิ่งเสพติด หรือสร้างสิ่งที่มาทำลายโลกได้
ที่ถามเพราะว่าเห็นความขัดแย้งในตัวเองของคนเก่งๆหลายคน ชีวิตหน้าฉากกับหลังฉากแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดตัวอย่างเช่น นักพูดบางคนพูดเก่ง มีสาระและสนุกมาก แต่ในชีวิตจริงเป็นคนเงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง ตลกบางท่านเวลาอยู่หน้าจอสร้างความสนุกสนานเฮฮา แต่หลังฉากไม่ตลกเลย ชีวิดกลับรันทด หดหู่  จึงสงสัยว่าความเก่งหรือพรสวรรค์เกี่ยวข้องกับปัญญาญาณไหมคะ
อีกหัวข้อนึงคือ การออกมาเป็นผู้สังเกตตัวเองทำยากมากเลย เคยอ่านที่หมอสันต์เล่าให้เห็นภาพว่าเหมือนกับมีความคิด 2 คนในตัวคนคนเดียวกัน หรือการพูดกับตัวเองบ่อยๆ ทำให้นึกถึง ไบโพลา และกลัวจะเขัาขั้นโรคจิตหรือเปล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังตั้งใจฝึกต่อค่ะ
ขอบคุณค่ะ

………………………………………………………

ตอบครับ

     1. ถามว่าความเป็นอัจฉริยะเกิดจากอะไร ตอบว่าไม่ทราบครับเพราะผมเองก็ไม่เคยเป็นอัจฉริยะจึงยังไม่มีประสบการณ์

     2. ถามว่าอัจฉริยภาพเป็นปัญญาญาณได้หรือไม่ ตอบว่าถ้าตอบตามความหมายของภาษาพูดก็ได้สิครับ เพราะความคิดหลักแหลมใดๆที่ไม่ได้บ่มขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีตเรานิยามว่าคือจินตนาการ (imagination) และปัญญาญาณ (intuition)ทั้งสิ้น สุดแล้วความล้ำลึกกว้างไกลของมัน ถ้าตื้นหน่อยและต้องช่วยคิดตั้งต้นให้ด้วยก็เป็นจินตนาการ ถ้าล้ำลึกกว้างไกลไร้ขอบเขตและมาเองโดยไม่ได้คิดเอาเลยก็เรียกว่าเป็นปัญญาญาณ

     3. ถามว่าถ้าอัจฉริยภาพเป็นปัญญาญาณ ทำไมอัจฉริยะบางคนจึงไม่มีความรับผิดชอบชั่วดี หิ หิ ตอบว่าชั่วหรือดีนี้อยู่ที่จะนิยามกันเอาเองนะครับ และมันคนละเรื่องกันกับปัญญาญาณ ความรับผิดชอบชั่วดีเป็น “คอนเซ็พท์” ซึ่งเป็นเรื่องของ “ความคิด” อันผูกพันกับการสำคัญมั่นหมายว่าตัวเองนี้เป็นบุคคลหรือมีตัวตน (identity) และโดยธรรมชาติของความคิดทุกช็อตที่เกิดขึ้นจะผูกพันหรือยึดโยงกับการเรียนรู้ในอดีตของคนๆนั้นด้วย ใครจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมากหรือมีน้อยจึงย่อมแล้วแต่การเรียนรู้ในอดีตของแต่ละคน ถ้ามีมากเกินไปภาษาบ้านๆเขามักเรียกว่า “คนบ้าดี” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าการเป็นคนอย่างนั้นจะดีหรือเปล่านะ

     ส่วนปัญญาญาณนั้นเป็นเรื่องของการ “ปิ๊ง” หรือการ “รู้แจ้ง” ข้อมูลใหม่ๆขึ้นๆมาดื้อๆในหัวโดยไม่เกี่ยวกับคอนเซ็พท์หรือความคิดหรือการเรียนรู้ใดๆที่มีมาก่อนหน้านั้นเลย เรียกว่าเป็นการดูดหรือดาวน์โหลดความรู้ใหม่ๆจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาสู่ตัวเองเหมือนดาวน์โหลดไฟล์จากกูเกิ้ลมาลงคอมของตัวเอง การจะเกิดปัญญาญาณนั้นต้องสามารถวางความคิดให้จิตเป็นสมาธิอยู่ในความรู้ตัวให้ได้ก่อนเป็นปฐม เพราะปัญญาญาณไม่เกิดในจิตที่จมอยู่ในความคิด ดังนั้นแค่ขอให้วางความคิดทำจิตเป็นสมาธิให้เป็น ก็สามารถปิ๊งไอเดียอะไรแปลกๆหรือเกิดปัญญาญาณได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีหรือเป็นคนบ้าดี เป็นคนชั่วหรือเป็นคนบ้าชั่วก็เกิดปัญญาญาณได้ เป็นคนง่าวคนเอ๋อที่จิตเป็นสมาธิก็เกิดปัญญาญาณได้ แม้กระทั่งเป็นขี้ยาที่เสพย์สารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเช่นกัญชาหรือเฮโรอีนในขนาดที่มากได้ที่พอหมดความคิดก็เกิดปัญญาญาณขึ้นในขณะเมายาได้เช่นกัน

     ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอย้ำก่อนนะว่าปัญญาญาณหรือญาณทัศนะนี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการแสวงหาความหลุดพ้นจากความคิดงี่เง่าของตัวเอง แต่มันเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสาธิตสอนแสดงให้ตัวเราเองเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น อันจะเป็นช่องทางให้วางความคิดงี่เง่าไร้สาระที่ทำให้เราสำคัญผิดว่าตัวเรานี้เป็นบุคคลมีตัวมีตนเป็นตุเป็นตะลงไปเสียได้เท่านั้น การสามารถวางความคิดงี่เง่าไร้สาระลงไปเสียได้นั่นแหละ เป็นปลายทางของการแสวงหาความหลุดพ้นที่แท้จริง

     4. ถามว่าถ้าหัดสังเกตความคิดนานไปจะเป็นบ้าชนิดโรคจิตสองขั้ว (bipolar disorder) ได้หรือเปล่า ตอบว่า ไม่เกี่ยวกันเลยครับ การสังเกตความคิด (aware of a thought) เป็นการถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับความรู้ตัว ส่วนโรคจิตสองขั้วเป็นการจมอยู่ในความคิด (thinking a thought) อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ในลักษณะที่เป็นการจมแบบเหวี่ยงไปมาของความคิดชนิดที่แสดงออกเป็นอาการทางร่างกายได้ (mood) ความคิดแบบนั้นจะเรียกว่าอารมณ์ก็ได้ บัดเดี๋ยวก็เหวี่ยงไปทาง “คึก” คือคิดว่าตัวเองนี้ยิ่งใหญ่สำคัญ บัดเดี๋ยวก็เหวี่ยงไปทาง “เศร้า” คือคิดว่าตัวเองนี้ไร้ค่า ไม่ว่าจะกำลังคึกหรือกำลังเศร้าก็ล้วนกำลังจมอยู่ในความคิด ไม่มีโอกาสได้รู้ตัว การรักษาโรคจิตสองขั้วมีทั้งส่วนการใช้ยาและส่วนการทำจิตบำบัด ในส่วนการทำจิตบำบัดนั้นจะต้องมุ่งพาให้ผู้ป่วยถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับความรู้ตัวจึงจะเป็นการแก้ปัญหาตรงจุด พูดง่ายๆว่าการหัดสังเกตความคิดเป็นเครื่องมือรักษาโรคจิตสองขั้ว ไม่ใช่เป็นเหตุให้เกิดโรคจิตสองขั้ว

    5. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแนะนำจากการเห็นสำบัดสำนวนที่คุณเขียนมา คุณเป็นคนเจ้าความคิด ความเป็นคนเจ้าความคิดของคุณจะพาคุณวนเวียนจมอยู่ในความคิดชนิดที่ไม่มีวันหลุดออกไปไหนได้ เพราะโดยธรรมชาติความคิดหนึ่งเมื่อผุดขึ้นมาแล้ว ก็จะเป็นหัวเชื้อที่ความสนใจของคุณจะนำไปคลุกเคล้ากับประสบการณ์ในอดีตแล้วปรุงเป็นอีกความคิดหนึ่งขึ้นมา ความคิดใหม่อีกความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมานี้ ก็จะเป็นหัวเชื้อที่ความสนใจของคุณจะนำไปคลุกเคล้ากับประสบการณ์ในอดีตแล้วปรุงเป็นความคิดใหม่อีกความคิดหนึ่งขึ้นมาอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำซากๆๆๆชั่วนิจ นิรันดร ชั่วนิจ นิรันด๊อน..น อย่างน้อยผมประกันได้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปจนคุณตาย หลังจากคุณตายไปแล้วมันยังจะเป็นเช่นนี้อยู่หรือเปล่าอันนั้นผมไม่รับประกันเพราะผมเองยังไม่เคยตายจึงยังไม่ทราบ

     ทางเดียวที่คุณจะหลุดจากตรงนี้ไปสู่ความสงบเย็นได้คือคุณต้องหัดวางความคิด ผมพูดบ่อยๆว่าการสังเกตความคิดเป็นวิธีหัดวางความคิดที่ดี แต่หากคุณบอกว่ามันยาก ไม่ถนัดหรือไม่ถูกจริต คุณลองอีกวิธีหนึ่งซึ่งอาจจะง่ายกว่าและคนเขาใช้กันเยอะแยะดูไหมละ คือการหันเหความสนใจของคุณออกจากความคิดมาอยู่กับร่างกาย เช่นอยู่กับลมหายใจของคุณ หรืออยู่กับความรู้สึกซู่ซ่าวูบวาบจิ๊ดจ๊าดบนผิวกายทั่วตัวของคุณ การถอยความสนใจจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจนั้นง่าย เพราะมาเมื่อไหร่ลมหายใจมันก็อยู่ที่นั่น คุณรับรู้ลมหายใจของคุณได้ทันที แต่การจะถอยมาอยู่กับความรู้สึกซู่ซ่าวูบวาบจิ๊ดจ๊าดบนผิวกายทั่วตัวของคุณนั้นจะยากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คือคุณต้องฝึกผ่อนคลายร่างกายให้เป็นก่อนคุณจึงจะรับรู้ความรู้สึกบนผิวกายของคุณได้

     ในการถอยความสนใจออกมาจากความคิดนี้คุณไม่ต้องไปสนใจความคิดว่ามันจะเผลอคิดเรื่องอะไร ขอแค่หลุดจากความเผลอคิดเมื่อไหร่ก็รีบหันเหความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับร่างกายทันที ถ้าทั้งวันมันไม่มีโอกาสได้หลุดจากความเผลอคิดเลยก็ลองเริ่มต้นด้วยการตั้งโทรศัพท์ปลุกตัวเองทุกหนึ่งชั่วโมงก็ได้ พอเสียงโทรศัพท์ดังทีหนึ่งก็หันเหความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับร่างกายทีหนึ่ง พากเพียรฝึกทำอย่างนี้ไป ในที่สุดคุณก็จะวางความคิดมาอยู่กับร่างกายได้เกือบตลอดเวลา ถึงตอนนั้นร่างกายไม่ว่าจะเป็นลมหายใจหรือความรู้สึกบนผิวกายมันจะค่อยๆลดความเด่นชัดและเปิดทางให้ความรู้ตัวซึ่งเป็นคลื่นพลังงานความสั่นสะเทือนที่ละเอียดอ่อนค่อยๆเด่นชัดขึ้นมาแทนโดยอัตโนมัติ จนในที่สุดจิตก็จะเป็นสมาธิไม่มีความคิดเลย มีแต่ความรู้ตัว เมื่อนั้นแหละปัญญาญาณจะไหลเข้ามาสาธิตสอนแสดงให้คุณเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นเอง ถึงตอนนั้นคุณก็จะเอาแต่นั่งผงกหัวว่า อ้อ.. เข้าใจละ อ้อ..เข้าใจละ คุณจะหายจากความเป็นคนเจ้าความคิดและขี้สงสัยเอง และคุณก็จะสงบเย็นไม่ว่าสถานะการณ์ในชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์