Latest

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความรู้ตัวจริง ไม่ใช่สิ่งที่ความคิดสร้างขึ้น

จดหมายฉบับที่ 1.
     ผมติดตามบทความของอาจารย์มาโดยตลอดและที่ผ่านมาอาจารย์มักเน้น self inquiry ในการเข้าถึงความรู้ตัวมาโดยตลอด แต่ทำไมช่วงหลังอาจารย์กลับเน้นถึงการทำ body scan และการรับรู้พลังงาน (grace) จากภายนอก ทั้งๆ ที่การทำ body scan นั้นต้องอาศัยประสาทสัมผัส คือร่างกายเพื่อเข้าถึงความรู้ตัว (knowing) มันเป็นแค่ครึ่งทางเมื่อเทียบกับการทำ self inquiry ที่ใช้การตั้งคำถามว่ารู้ตัวหรือเปล่า? ใครคือผู้รู้? จนเกิดปัญญาญาณ (intution) โดยที่ไม่ต้องอาศัยอายตนะใดๆ และจะนำไปสู่ความรู้ตัวโดยตรง ทำไมเราต้องกลับไปทำ body scan ผ่านอายตนะที่เป็นครึ่งทางแห่งความรู้ตัวด้วยครับ? มันเหมือนเป็นการถอยหลังเข้าคลองหรือไม่? รบกวนอธิบายเพื่อความกระจ่างเพื่อสู่หนทางเข้าถึงความรู้ตัวด้วยครับ

จดหมายฉบับที่ 2
     ไม่ว่าจะทำ body scan โดยไม่ใช้ภาษาและความคิด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องใช้ self enquiry ( who am i ) กับตัวเองเพื่อให้ถึงภาวะความตื่นรู้ใช่หรือไม่ครับ? แต่ถ้าถามตัวเองเราจะติดกับดักของภาษากับความคิดในสิ่งที่เราหมั่นถามตัวเองบ่อยๆ สุดท้ายเราจะตรวจสอบตัวเองอย่างไรครับว่าเราอยู่กับความรู้ตัวของจริงที่ไม่ใช่สิ่งที่ความคิดเราสร้างขึ้น

…………………………………………….

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถาม ขอนิยามศัพท์ให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งเดียวกัน

     ประเด็นที่1. ความรู้ตัวคืออะไร 

     ความรู้ตัว (awareness หรือ consciousness) ของจริงนั้นไม่มีภาษาใดอธิบายถึงมันได้ เพราะมันอยู่นอกประสบการณ์ผ่านอายตนะทั้งหกซึ่งเป็นฐานก่อกำเนิดภาษา และไม่มีเครื่องมือหรือยานพาหนะใดๆจะพาไปถึงมันได้ เพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่จะถึงได้ด้วยการไป อย่างดีก็พาไปจอดอยู่ห่างๆ แล้วเมื่อเงื่อนไขต่างๆสุกงอมก็จะ “รู้ตัว” ได้เอง

     แต่ยังไงผมก็ต้องอาศัยภาษาอธิบาย เพราะผมไม่ถนัดวิธีอื่น ดังนั้นคำอธิบายของผมอย่างดีที่สุดก็แค่สามารถนำท่านไปจอดอยู่ห่างๆคนละฝั่งน้ำกับเป้าหมายเท่านั้น ของจริงท่านลุยน้ำไปต่อเอาเอง คือผมขออธิบายว่าความรู้ตัวก็คือความตื่นในขณะที่ไม่มีความคิด พูดง่ายๆว่าเป็นอะไรที่ใกล้มาทาง feeling มากกว่าใกล้ไปทาง thought คือมีแต่ความสามารถรับรู้ บางคนเรียกมันว่า “ธาตุรู้” คำว่าธาตุหมายถึงสิ่งที่แบ่งแยกต่อไปไม่ได้แล้ว แถมยังเป็นธาตุที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวคือรับรู้ได้ คุณสมบัติอื่นในแง่ของการเป็นดินน้ำลมไฟความร้อนแสงเสียงไม่มี ประเด็นสำคัญคือที่ความรู้ตัวนี้ไม่มีความคิด จึงไม่มีคอนเซ็พท์ (ดีชั่ว ถูกผิด สิทธิ ความเป็นเจ้าของ ฯลฯ) ที่ตรงนี้สำนึกว่าเป็นบุคคลซึ่งเกิดจากการถักทอของความคิดหรือคอนเซ็พท์ต่างๆจึงไม่มี มีแต่ความว่างๆโล่งๆสบายๆ

     ในแง่ของความเป็นธาตุๆหนึ่ง ความรู้ตัวไม่มีสถานะให้จับต้องมองเห็นได้ แต่เนื่องจากทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้แท้จริงแล้วปรากฎตัวในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือน แล้วอายตนะของร่างกายแปลคลื่นเหล่านั้นมาเป็นภาพเสียงสัมผัส แล้วความคิดของคนเราแปลภาพเสียงสัมผัสเหล่านั้นเป็นภาษาอีกต่อหนึ่งความรู้ตัวเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนในความถี่ที่เล็กละเอียดมาก จนเป็นเสียงที่ไร้เสียง (ความเงียบ) เป็นภาพที่ไร้ภาพ (ความว่าง) เป็นสัมผัสที่แผ่วเสียจนไม่อาจอธิบายด้วยภาษาได้ เอาเป็นว่าความรู้ตัวคือความเงียบหรือความว่างหรือสัมผัสแผ่วเบาที่อยู่ตรงหน้าคุณขณะที่คุณตื่นอยู่และปลอดความคิด ณ ที่ตรงนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เอางี้ก็แล้วกัน

     ในแง่ของการใช้ภาษา อะไรที่จับต้องมองเห็นได้ เราเรียกว่ามันว่าสสารหรือมวลสาร อะไรที่จับต้องมองเห็นไม่ได้แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่เราเหมารวมเรียกสถานะของมันว่าเป็นคลื่นพลังงานหมด ในแง่นี้ความรู้ตัวนี้ก็เป็นคลื่นพลังงาน มันแทงทะลุผ่านขอบเขตของ “สำนึกว่าเป็นบุคคล” ซึ่งวาดหรือปั้นแต่งขึ้นมาจากการรับรู้ของอายตนะได้ หมายความว่าที่ความรู้ตัวคุณสามารถรู้ได้มากกว่าที่คุณรู้ผ่านอายตนะทั้งหก เปรียบเสมือนลมในฟองสบู่ยามฟองสบู่แตก มันสามารถแพร่ออกไปเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศภายนอกได้ทุกทิศทุกทางอย่างไม่มีขอบเขต ดังนั้นคนที่ปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัวจึงมีศักยภาพของความเป็นคนที่ทำอะไรได้กว้างไกลกว่าคนที่ปักหลักอยู่ในความคิด

     ประเด็นที่ 2. Body Scan คืออะไร

     คำว่า body scan หมายถึงการที่เราเอาความสนใจของเราลาดตระเวณรับรู้ความรู้สึกบนผิวกาย คือผิวกายเรานี้มันมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา เป็นความรู้สึกแบบซู่ๆ ซ่าๆ วูบๆ วาบๆ จิ๊ดๆ จ๊าดๆ เจ็บๆ คันๆ หรือขนลุกขนชัน หรือความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนิยามไม่ได้ หากเราถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาสนใจความรู้สึกบนผิวกายจริงจัง เราจะรับรู้มันได้

     ความรู้สึกบนผิวกายหรือ เวทนา(feeling) นี้มันอาศัยอายตนของร่างกายเป็นเครื่องรับก็จริง แต่แท้จริงแล้วตัวกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเหล่านี้คือพลังงานของร่างกายที่เรียกว่าพลังชีวิต หรือ energy body หรือ etheric body คำว่า etheric body นี้ใช้กันมาตั้งแต่สมัยพลาโตและอริสโตเติลแล้ว ตรงกับภาษาแขกว่า “ปราณา” ตรงกับภาษาจีนว่า “ชี่” ในภาษาไทยไม่มีคำนี้ การทำ body scan ที่จริงแล้วก็คือการย้ายความสนใจจากความคิดมาอยู่กับพลังงานของร่างกายไม่ใช่มาอยู่กับร่างกายที่เป็นเนื้อตันๆ ซึ่งหากทำได้ลึกละเอียดแล้ว ความรู้สึกต่อร่างกายที่เป็นเนื้อตันๆ (physical body) จะหายไป เหลือแต่ความรู้สึกต่อพลังงานของร่างกาย จนรู้สึกได้ว่าร่างกายนี้เป็นกลุ่มก้อนของพลังงานที่ขอบเขตเบลอๆไม่ชัดเจนและยืดหดขยายได้
   
     พลังงานของร่างกายนี้มันเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้ตัวนั่นแหละ และเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานจากภายนอกที่เรียกว่า grace ด้วย ดังนั้นในบรรดาองค์ประกอบของชีวิตที่เราเข้าถึงได้ พลังงานของร่างกายหรือปราณา หรือชี่นี่แหละที่จะเป็นตัวพาเราไปถึงความรู้ตัวได้ง่ายทางหนึ่ง

     ประเด็นที่ 3. Self Inquiry คืออะไร

     คำว่า self inquiry นี้เกิดจากคำสอนของนักบุญชาวอินเดียคนหนึ่งชื่อรามานา มหารชี ซึ่งสอนให้เข้าถึงความรู้ตัวโดยการตั้งคำถามกับทุกความคิดที่เกิดขึ้นเพื่อเปิดโปงให้ความรู้ตัวเห็นว่าแต่ละความคิดนั้นล้วนชงขึ้นมาจากสำนึกหลอนว่าตัวเองเป็นบุคคลทั้งสิ้น เมื่อตีตกแต่ละความคิด แต่ละคำถาม ไปจนหมดความคิด หมดคำถาม ก็จะเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว นั่นก็คือบรรลุธรรม คำสอนของเขาลูกศิษย์นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ Who am I? (ตัวเขาไม่เคยเขียนหนังสือ) เป็นหลักฐานเดียวที่เป็นคำสอนจริงๆของเขา หนังสือนี้เป็นหนังสือเพียงไม่กี่หน้า บอกแต่คอนเซ็พท์ แทบไม่ได้พูดถึงเทคนิคปฏิบัติเลย ชีวิตจริงของรามานามหารชีนั้นนั่งสมาธิอยู่อย่างเดียวนานถึง 14 ปีจนร่างกายบางส่วนผุเปื่อยพุพอง หมายความว่าตัวเขาเองเป็นคนที่มีพลังสติสมาธิสูงมาก เทคนิคของเขาหากใช้โดยคนที่มีพลังสติสมาธิต่ำจะไม่ได้ผล เพราะความคิดเดิมที่ตีทะเบียนไปแล้วว่าเป็นความคิดงี่เง่าและถูกจำหน่ายทิ้งไปแล้วจะวนกลับมาได้อีกแล้วก็จะเผลอตัวจมอยู่ในความคิดนั้นอีกซ้ำๆซากโดยไม่รู้ตัว

     เอาละ คราวนี้มาตอบคำถาม

     1. ถามว่าทำไมหมอสันต์จึงหันมาโฟกัสที่การทำ body scan มากกว่าการใช้ self inquiry ตอบว่าสิ่งที่ผมเล่าให้ท่านผู้อ่านหรือสมาชิกในแค้มป์ SR ฟังนั้น เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวของผมเท่านั้น เพราะความรู้ของผมจำกัดอยู่แค่ประสบการณ์ของผม บางอย่างผมลองแล้วได้ผลดี ถูกจริตของผม ผมก็ชอบ บางอย่างผมลองแล้วมันไม่ได้ผลกับตัวผม ผมก็ไม่ชอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าของจริงเขาไม่ดี ผมเคยทดลองใช้เทคนิคตั้งคำถามแล้วไม่ได้ผล เพราะพลังสติสมาธิผมไม่ดีพอ ผมจึงเปลี่ยนมาใช้เทคนิคทิ้งภาษาไปเลย มาอยู่กับความรู้สึกล้วน เช่น body scan ซึ่งผมพบว่าง่ายกว่า ก็จึงชอบวิธีนี้ เรียกว่ามันถูกจริต ไม่ได้มีศาสตร์หรือหลักเปรียบเทียบอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าคำว่าถูกจริตหรอกครับ

     2. ถามว่าใน SR ระยะหลังทำไมหมอสันต์มาเน้นการรับรู้พลังงาน (grace) จากภายนอก ตอบว่า คำว่า grace นี้ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “กรุณา” ในภาษาไทยผมใช้คำว่าพลังเมตตาแทนเพราะคนน่าจะเข้าใจดีกว่า คำสำคัญของเรื่องนี้คือการ “เปิดรับ” การเปิดรับเป็นการทะลวงเกราะหุ้ม “สำนึกว่าเป็นบุคคล” คือมันเป็นเทคนิคหนึ่งในการเจาะเกราะความคิด “ข้าแน่” เพราะที่จุดสูงสุดของความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นบุคคลของเรานี้ก็คือสำนึกว่าข้าแน่ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ได้ดิบได้ดีมาจนทุกวันนี้เป็นเพราะข้าดลบันดาลฟันฝ่าความยากลำบากขึ้นมาเอง ข้าเป็นศูนย์กลางของโลกนี้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงชีวิตของคนเราดำรงอยู่ได้ด้วยการเกื้อหนุนจากจักรวาลนี้ทุกกระเบียดนิ้ว เอาง่ายๆหากไม่มีอากาศหายใจแค่ห้านาทีถึงข้าแน่แค่ไหนก็อยู่ไม่ได้หรอก การ “เปิดรับ” คือการยอมรับว่าข้าเป็นเพียงบักจ่อยจิ๊บจ๊อยน้อยนิดเป็นส่วนเล็กๆของจักรวาลนี้เท่านั้นเอง เป็นการสลายกำลังของสำนึกว่าเป็นบุคคลให้อ่อนลง เป็นการตั้งต้นให้การหลุดพ้นไปจากกรงของความคิดทำได้ง่ายขึ้น เพราะชื่อว่าความคิดแล้วล้วนชงหรือนำเสนอโดยสำนึกว่าเป็นบุคคลทั้งสิ้น

     3. ถามว่าถ้าหมั่นถามหมั่นตอบตัวเองบ่อยๆด้วยวิธี self inquiry แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่กับความรู้ตัวของจริง ไม่ใช่ความรู้ตัวปลอมที่ความคิดเราสร้างขึ้น ตอบว่าทางเดียวที่จะรู้ได้คือการมีสติสมาธิที่แข็งแรงมั่นคง นั่นหมายความว่าวิธีถามตอบนี้จะไม่เวิร์คถ้าคนใช้มันสติสมาธิยังไม่แข็งแรงเพราะมันมีด่านหลอกดักอยู่มาก แม้แต่การเดินในเส้นทางของศาสนาพุทธท่านก็ยังสอนว่าในการไปหาแก่นไม้ มันมีด่านหลอกดักอยู่ก่อนถึงของจริงถึงสี่ด่าน คือ

 (1) ได้ออกบวชมีคนเคารพนับถือ นึกว่าถึงแก่นแล้ว แต่แท้จริงเป็นแค่กิ่งและใบ
(2) ถือศีลได้สมบูรณ์นึกว่าถึงแก่นแล้ว แต่แท้จริงเป็นแค่สะเก็ด
(3) ฝึกสมาธิได้สมบูรณ์เข้าถึงฌานลึกๆ นึกว่าถึงแก่นแล้ว แต่แท้จริงเป็นแค่เปลือก
(4) เกิดปัญญาญาณได้ญาณทัสสนะรู้อะไรทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นเยอะแยะ นึกว่าถึงแก่นแล้ว แต่แท้จริงเป็นแค่กระพี้

     การหลุดพ้นจากความคิดผ่านสมาธิ (เจโตวิมุตฺติ) จึงจะเป็นแก่นไม้ที่แท้จริง แปลไทยให้เป็นไทยก็คือคุณจะต้องมีสติสมาธิที่ดีเยี่ยมก่อน จึงจะไม่ถูกความคิดของตัวเองสร้างความรู้ตัวปลอมหรือการหลุดพ้นปลอมขึ้นมาหลอกตัวเองเอาได้

     ตัวผมเองมาถูกจริตกับวิธีมวยวัด คืออะไรที่เป็นความคิดไม่เอาทั้งสิ้น อะไรที่บอกเป็นรูปร่างได้ หรือเอาภาษาเข้าไปอธิบายได้ ถือว่าเป็นความคิดหมด ผมทิ้งหมด ไม่ถาม ไม่สอบสวน ไม่เอาตรรกะเข้าไปตัดสินทั้งสิ้น ใช้สโลแกน “เปลี่ยนจากคิดเป็นรู้สึก” หรือ “…From Think To Feel” แม้แต่จะชื่นชมความเขียวของสนามหญ้าก็ไม่คิด แต่ (ขอโทษ)..เอาตีนเหยียบ แล้วรู้สึกเอา ถามว่ามันเป็นการถอยหลังเข้าคลองหรือเปล่า ตอบว่าใช่มันเป็นการถอย เพราะสิ่งที่เราค้นหาซึ่งก็คือความรู้ตัวนั้นเราต้องถอยจึงจะพบ เพราะมันเป็นเราอยู่เก่าก่อนที่จะมีความคิดมาห่อหุ้ม จึงต้องถอยจากความคิดกลับเข้าไปหาตัวเองดั้งเดิมจึงจะพบ มองอีกแง่หนึ่งเป็นการถอยหลังมาตั้งหลักเพื่อเดินใหม่แบบที่ไม่ให้คนขี้หกแอบตามไปด้วย ผมทุกวันนี้จึงได้แต่อาศัยพลังชีวิตหรือพลังงานของร่างกาย (energy body) ควบคู่กับการผ่อนคลายร่างกาย มาเป็นตัวนำทางในการใช้ชีวิต ไม่ยุ่งด้วยแล้ว เจ้าความคิดตัวแสบ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์