Latest

(เรื่องไร้สาระ1.) ติดตามข่าวเกษตรหลังตรง

     มวกเหล็กหนาวแล้ว อากาศเย็นกรอบเบิกบานดียิ่ง อากาศอย่างนี้ขุดดินเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย อย่างที่เคยได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ก่อนจะไปเที่ยวแล้วว่าผมได้ออกแบบชีวิตตัวเองเสียใหม่ให้มีเวลาได้ทำสิ่งที่ชอบๆมากขึ้น เวลาที่ได้ทำอะไรหนุกๆหรือเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็อยากบันทึกไว้ในบล็อกนี้กันตัวเองลืม แฟนบล็อกที่ชอบเรื่องไร้สาระก็จะได้อ่านเล่นไปด้วย แต่บล็อกของหมอส้นต์ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเป็นบล็อกอ่านเอาเรื่อง เวลาเอาอะไรไร้สาระมาเขียนก็มักทำให้ผู้อ่านเกิดปัญหา อย่างคราวที่แล้วผมเขียนเล่าเรื่องโครงการเกษตรหลังตรงว่าผมทำแปลงผักยกสูง หมอสมวงศ์ส่งไปให้เพื่อนซึ่งอยากปลูกผักที่แคนาดาอ่าน ในบทความนั้นมีเนื้อหาตอบจดหมายคนรักษาไขมันในเลือดสูงให้ตัวเองโดยวิธีเปลี่ยนจากการกินเนื้อสัตว์มากินพืชอีกอยู่ด้วย เพื่อนที่แคนาดาเล่าว่าเธอขับรถจะไปกินแมคโดนัล ไปถึงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านเรื่องวิธีทำแปลงผักยกสูงแต่ต้องอ่านเรื่องการเปลี่ยนอาหารลดไขมันในเลือดไปด้วยเพราะมันอยู่ในบทความเดียวกัน อ่านแล้วกินแม็คโดนัลด์ไม่ลงจึงเสียเวลาขับรถกลับมาทำสลัดกินที่บ้าน แล้วต่อว่ามาว่าทีหลังเขียนแยกกันเป็นเรื่องๆได้ไหม จะได้ไม่เป็นมารคอหอย ซึ่งผมก็เห็นคล้อยตาม ดังนั้นต่อไปนี้หากผมจะเขียนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพกายสุขภาพจิต ผมจะจั่วหัวไว้ในวงเล็บนำหน้าชัดๆว่า (เรื่องไร้สาระ..) เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่เข้ามาหาอ่านเรื่องมีสาระจะได้ข้ามเรื่องแบบนี้ไปโดยไม่หลงกล

     กลับมาพูดถึงโครงการเกษตรหลังตรง คราวที่แล้วจบที่ทำแปลงผักยกสูงเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วผมก็ไปเมืองนอก กลับมาก็มาทำขั้นต่อๆไป คือ

เอาด้ามช้อนตักเมล็ดหยอดหลุมละหนึ่ง ไม่ต้องเผื่อ

    ขั้นที่ 1. หาพีทมอส (peat moss) ซึ่งก็คือตะไคร่สีเขียวที่ตายแล้ว แล้วเอามาทำดินปลูก พีทมอสนี้มันดีตรงที่ว่ามันหลวม รากพืชเดินง่าย ท่านอาจจะงงว่าเขาไปเอาตะไคร่มาจากไหนเยอะแยะ ตอบว่าเมืองไทยนี้ไม่มีใครเพาะตะไคร่ขายหรอกครับเพราะอากาศมันร้อน เพาะแล้วขาดทุน แต่ฝรั่งเพาะขายกันเป็นล่ำเป็นสัน พีทมอสที่เราใช้ทุกวันนี้ซื้อมาจากฝรั่งทั้งสิ้น ผมเคยดูฝรั่งเพาะก็ไม่ยาก เขาเอามอสหรือตะไคร่มาลาบด้วยมีดอีโต้จนเป็นชิ้นเล็กๆแล้วคลุกมอสนั้นกับโยเกิร์ต แล้วเอาไปแผ่ไว้บนไม้ผุๆหรือก้อนหิน ตะไคร่มันก็จะโตวันโตคืนกอบมาขายได้ไม่รู้จักหมด ย้ำว่าต้องทำที่บ้านฝรั่งที่อุณหภูมิต่ำนะ บ้านเราอย่าไปริ เพราะจะเสียเงินเสียเวลาเปล่า  ท่านที่คิดจะทำพีทมอสใช้เองผมแนะนำให้ทำพีทมอสปลอมเพราะผมลองมาแล้ว โดยใช้ แกลบเผา ขุยมะพร้าว ดิน ขี้วัวเก่าที่หมักทิ้งไว้จนเป็นผงแล้ว อัตราส่วน 1:1 หมด คลุกแล้วร่อน ก็จะได้พีทมอสปลอมแบบไทยๆ เอาน้ำรดแล้วก็เป็นอันใช้การได้ น้ำที่รดอาจจะเป็นน้ำธรรมดา แต่บางคนก็จะแผลงเอาน้ำมะพร้าวบ้าง น้ำจุลินทรีย์บ้าง น้ำที่หยุดยาชูกำลังเอ็ม. 150 บ้าง น้ำผสมกะปิบ้าง แล้วแต่ความอุตริของแต่ละคน ที่สุดของที่สุดคือผู้ผลิตบางคนทำโดยไม่บอกใครเพราะกลัวคนอื่นไม่กินผักของตัวเอง คือเอาฉี่ตัวเองเนี่ยแหละหยดใส่เข้าไปในน้ำ (แต่หมอสันต์เปล่าทำแบบนี้นะ ดังนั้นเวลาหมอสันต์เอาผักไปกำนัล ขอให้กินอย่างมั่นใจ) ไอเดียที่ต้องทำน้ำให้พิศดารออกไปก็เพื่อหาเรื่องให้ต้นกล้าได้อาหารมากขึ้นงอกรากเร็วขึ้น แต่หลังจากลองนั่นนี่มาแล้ว (ยกเว้นฉี่) ผมสรุปว่าซื้อพีทมอสของฝรั่งมาใช้กับน้ำประปาง่ายสุด สนนราคาพีทมอสก็ประมาณกก.ละ 50 บาท

วิธีหยอดเมล็ดแบบมะกะโท 
ต้นกล้า 15 วัน พร้อมย้ายลงแปลง

     ขั้นที่ 2. ก็เอาเมล็ดมาแช่หรือบ่มน้ำไว้สักสี่ชั่วโมง เมล็ดนี้ผมฝากหมอสมวงศ์ซื้อมาจากจตุรจักร ดังนั้นเรื่องคุณภาพของเมล็ดไม่ต้องพูดถึง เูธอซื้ออะไรมาให้ผมก็ต้องใช้

     ขั้นที่ 3. ก็เอาพีทมอสที่พรมน้ำจนชุ่มพอประมาณ พอประมาณแปลว่าเอาพีทมอสใส่มือบีบจะไม่มีน้ำไหลเยิ้มออกมา แต่พอแบมือออกพีทมอสจะจับกันเป็นก้อนได้พอดีไม่ลุ่ยเป็นผง แล้วเอาพีทมอสชุ่มพอดีนี้ลงใส่ในถาดเพาะซี่งเป็นหลุมๆแบบหลุมขนมครก ถาดมาตรฐานพลาสติกดำถาดหนึ่งมี 104 หลุม ใส่พีทมอส 5 ลิตร ดังนั้นเวลาซื้อหากซื้อถุงละ 5 ลิตรก็จะพอดีไม่เหลือทิ้ง เมื่อเห็นถุงพีทมอสห้าลิตรแล้วอย่าไปประท้วงกับแม่ค้าว่าทำไมห้าลิตรมันยุบเหลือเล็กนิดเดียวนะ เพราะอาจจะได้รับคำตอบว่า

     “ถุงหนะ ห้าลิตร แต่อิฉันไม่ได้บอกว่าพีทมอสห้าลิตรนะยะ” หิ หิ

เอาด้ามช้อนควักจากถาดเพาะลงใส่หลุมที่แปลง

     ขั้นที่ 4. ก็เอาเมล็ดลงหยอดในถาดเพาะ เอาด้ามของช้อนสังกะสีตักเอาเมล็ดที่กำลังงอกทีละเมล็ดลงใส่หนึ่งเมล็ดต่อหนึ่งหลุม ถ้าจะละเอียดหน่อยก็แยกเป็นแถวว่าแถวไหนปลูกอะไร แต่หมอสันต์ชอบแบบรูดมหาราช ปลูกมั่วกันลงไป เพราะทั้งหมดนี้คือผักสลัดเจ็ดชนิด เวลากินเราต้องแยกว่าจะกินผักคอสก่อนแล้วมากินเรดโอ๊คเสียเมื่อไหร่ล่ะ

     ในขั้นตอนหยอดเมล็ดนี้ หากเป็นเมล็ดที่เล็กละเอียดมากก็ไม่ต้องแช่น้ำ เพราะมันจะติดกันเป็นตังเมจนทำอะไรไม่ได้ ผมจึงใช้วิธีมะกะโทประยุกต์ ท่านที่เป็นคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักมะกะโท ขอเล่าแทรกหน่อยนะ มะกะโทอีเป็นคนยากจนแต่ฉลาดเจ้าเล่ห์ มะกะโทอยากปลูกผักแต่พอไปถามราคาเมล็ดพันธ์เจียไต๋แล้วเงินไม่พอซื้อ จึงต่อรองแม่ค้าว่า

     “ฉันมีเงินสามอีแปะ ขอคนจนอย่างฉันซื้อเมล็ดผักไปปลูกกินบ้างนะ”

     แม่ค้าบอกเสียงดังอย่างรำคาญว่า

     “ก็ได้ แต่เงินแค่นั้นแกจะได้แค่เมล็ดที่ติดนิ้วชี้แกไปนิ้วเดียวเท่านั้นนะ” 

     มะกะโทรีบระล่ำระลักขอบคุณ แล้วเอานิ้วชี้ใส่ปากตัวเองอมให้เปียกน้ำลาย แล้วจุ่มนิ้วนั้นลงในถาดเมล็ดพันธ์ผัก จึงได้เมล็ดพันธ์ผักไปเยอะแยะเกินความคาดหมายของแม่ค้าและชาวบ้านร้านตลาดที่มุงดูอยู่

     กลับมาพูดถึงการหยอดเมล็ด วิธีมะกะโทประยุกต์ก็คือผมเทเมล็ดแห้งๆลงบนฝ่ามือหรือบนกระดาษทิชชู กะปริมาณแค่พอใช้ในครั้งนี้ แล้วเอาตะเกียบไม้ไผ่เหลาปลายให้แหลมคล้ายดินสอ เอาปลายตะเกียบจุ่มน้ำพอให้หมาดๆแล้วเอาปลายมาแตะเมล็ดบนฝ่ามือทีละเมล็ด ตัวเมล็ดจะถูกความชื้นที่ปลายตะเกียบดูดให้ติดมากับปลายตะเกียบ ทำให้เอาไปหยอดลงหลุมได้ง่าย บรรจงทำอย่างนี้ไปทีละเมล็ด ทีละเมล็ด จนเต็มถาด

          ขั้นที่ 5. เป็นการเลี้ยงต้นกล้าให้โต ด้วยการเอาถาดเพาะไปวางไว้ในร่มแล้วพรมน้ำให้ชุ่มเข้าไว้ พอให้ขึ้นใบเขียวได้ที่ก่อนแล้วจึงย้ายไปใกล้หน้าต่างให้พอได้ไอแดด อย่ารีบให้มันได้แดดทันทีเพราะต้นกล้าจะผอมสูงปรี๊ด

ย้ายกล้าลงปลูกเสร็จ แล้วก็รออีกหนึ่งเดือน..ถ้ากระรอกไม่มา

     ผ่านไปราวเจ็ดวันคราวนี้มันก็ค่อยมีใบและแข็งแรงขึ้นบ้าง ผมก็เอาออกแดดรำไร คอยพรมน้ำ บางวันลืมพรมน้ำไปหลายชั่วโมงไปดูอีกทีอ้าวเฉาไปเสียแล้ว ดังนั้นการพรมหรือการหยดน้ำบ่อยๆเนี่ยจำเป็นสำหรับต้นกล้า เปรียบเหมือนการฝึกสติ จะเอาแค่นั่งสมาธิวันละหนสองหนโดยไม่ใส่ใจวางความคิดในชีวิตประจำวันย่อมไม่บรรลุธรรมฉันใด การรดน้ำต้นกล้าแค่วันละครั้งสองครั้งโดยไม่ใส่ใจพรมน้ำทั้งวันแล้วหวังจะได้กินผักก็ยาก..ส์ ฉันนั้น

     แม้หมอสันต์ตั้งใจจะทำงานนี้คนเดียว แต่ก็ไม่วายมีผู้หวังดีมาคอยช่วยเหลือ ผู้ช่วยของผมเป็นชาวต่างชาติอีกต่างหาก หน้าที่หลักของเธอคือเป็นแม่ครัวและคนดูแลบ้าน แต่เธอชอบชีวิตเอ้าท์ดอร์มากกว่า เธอเป็นเกษตรกรที่กระตือรือล้นเกินเหตุ แบบว่าดึกดื่นกลางคืนก็ยังตื่นมาเอาไฟฉายส่องดูต้นกล้าว่ามันงอกมากขึ้นหรือเปล่า เรียกว่าลุ้นความงอกกันชั่วโมงต่อชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้เธอมักจะมีครีเอทีฟไอเดียของเธอเอง เช่นเอาพริกมาแทรกลงกลางแถวผัก นี่ท่าทางเธอจะกำเริบเสิบสานเอาเมล็ดมะนาวและเมล็ดมะละกอปาปายาป๊อก ป๊อก มาเพาะด้วย วันหนึ่งผมได้ยินเธอร้องพึมพัมว่า

     “ซ่อยสันแน ซ่อยสันแน”

     สอบถามได้ความว่าเธออุตส่าห์ตั้งใจบรรจงล้างเมล็ดแตงแคนตาลูปที่ปอกให้เจ้านายกินเรียบร้อยแล้วตากแดดไว้เพื่อเก็บเป็นเมล็ดพันธ์เอาไว้ให้ลูกๆของเธอที่เมืองลาวไปเพาะปลูก ปรากฎว่าแค่เธอออกไปทำธุรข้างนอกไม่กี่ชั่วโมง ก็มีหนูมาเก็บกินเมล็ดพันธ์ของเธอเสียเรียบวุธ อ้าว ถ้าอย่างนั้นการจะวางกะบะเพาะกล้าไว้ตรงไหนก็สำคัญละสิ เพราะนอกจากพวกหนูจิ๊ดๆแล้ว บ้านที่กรุงเทพนี้ยังมีกระรอกเป็นศัตรูของการปลูกผักอีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ผมออกปากบ่นไม่ได้เด็ดขาดเพราะหมอสมวงศ์จะซ้ำเติมทันที เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วผมไปเดินเล่นจตุจักรเห็นกระรอกถูกเขาเอาเชือกผูกคอขายแล้วสงสารมันมาก จึงซื้อมาตัวหนึ่งกะจะเอามาปล่อยให้มันมีชีวิตอิสระเสรีที่หน้าบ้าน พอผมปล่อย จำได้ว่ามันวิ่งตัดสนามจู๊ดจะไปขึ้นต้นไม้แต่มันขึ้นไม่ได้เพราะมันเป็นกระรอกจตุจักรมันขึ้นต้นไม้ไม่เป็น ได้แต่ดึงตัวเองขึ้นไปแล้วก็หล่นลงมาซ้ำซากเป็นที่น่าขำ เข้าใจว่ากล้ามเนื้อสะโพกมันไม่แข็งแรงพอเพราะมันอยู่แต่ในกรงไม่ได้เล่นกล้าม ในที่สุดมันตัดสินใจวิ่งเข้าไปซ่อนตัวในพงพุ่มไม้ของข้างบ้าน หมอสมวงศ์เห็นตอนผมปล่อยมันพอดี เธอร้องเอะอะว่า

     “คุณกำลังทำอะไรเนี่ย เราเลี้ยงกล้วยไม้จะมีกระรอกไม่ได้นะ” ผมบอกเธอว่า

     “เหอะน่า กระรอกตุ๊ดตัวเดียวมันจะไปมีผลอะไรนักหนา”

      แต่ว่าสิบปีผ่านไปมาถึงวันนี้ไม่รู้เจ้ากระรอกตุ๊ดตัวนั้นมันไปแปลงเพศหรือแบ่งตัวได้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะตอนนี้บ้านที่กรุงเทพมีกระรอกกระแตเต็มไปหมด อย่าว่าแต่มันจะกินแค่กล้วยไม้เลย แม้แต่กิ่งมะม่วงของเพื่อนบ้านขนาดเท่าขาเด็กมันก็แทะเปลือกและกระพี้ไม้กินเสียจนมะม่วงตายไปทั้งกิ่ง

     กลับมาเรื่องปลูกผักต่อ ขั้นที่ 6. ผ่านไปแล้ว 15 วัน คราวนี้ก็เป็นการย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลง โดยใช้ด้ามช้อนตักแกงสังกะสีอันเดิมควักต้นกล้าออกมาทั้งต้น เอาไปปลูกในหลุมที่ใช้นิ้วชี้แหวกวัสดุปลูกให้เป็นรูไว้ล่วงหน้า ผมใช้นิ้วเจาะหลุมปลูกได้เพราะวัสดุปลูกของผมประกอบด้วยดินหนึ่งส่วนแต่แกลบดิบถึงสามส่วนแค่นั้น ไม่มีอะไรนอกจากนั้น เพราะผมบอกตันผักของผมว่าวัสดุปลูกนี้แค่เพื่อให้รากหยั่งลึกและกว้างจนตั้งลำต้นอยูได้แค่นั้นนะ ส่วนอาหารให้ส่งรากไปหาเอาจากปุ๋ยอินทรีย์ที่ผมจะโรยไว้เป็นร่องข้างแถวผักเอาเอง การจัดทัพผักของผมก็คือปลูกเป็นแถวตอน หน้ากระดานเรียงสี่ ให้แถวผักอยู่ตรงกับท้องร่องของกระเบื้องลอน ส่วนตรงสันนูนของกระเบื้องลอนผมควักวัสดุปลูกเป็นร่องยาวขนานไปกับแถวผักแล้วเอาปุ๋ยอินทรีย์ใส่ไว้ในร่องนี้ 

     ขั้นที่ 7. คราวนี้ก็เป็นการบำรุงรักษาต้นผักให้โตจนกินได้ แปลงแบบเกษตรหลังตรงของผมนี้มันดีที่มันไม่มีหญ้า แค่ให้น้ำและปุ๋ย ผมใช้ปุ่ยอินทรีย์ของสันติอโศกเพราะเพื่อนที่เป็นหมออยู่ในนั่นเป็นเจ้ากี้เจ้าการหามาให้ เอาปุ๋ยนี้กองไว้ข้างแถวผักเป็นแนว กองแล้วไม่ต้องไล่มันลงไปหาตันผักนะ เพราะผักจะตาย ปล่อยให้มันค่อยๆซึมไปหารากผักเอง การรดน้ำนั้นแล้วแต่ความขยันหรือขี้เกียจ ดีที่สุดคือรดบ่อยโดยไม่ยอมให้ผักเหี่ยว ถ้าไม่มีปัญญารดบ่อยก็ต้องหาซาแลนท์มาคลุมกันแดดไม่ให้โดนผักมากเกินไป ผมใช้วิธีตั้งแปลงใกล้ชายคาบ้านจะได้ไม่โดนแดดตอนบ่าย นี่กำลังคิดจะซื้อเครื่องตั้งเวลา (timer) ที่หัวก๊อกน้ำประปาจากลาซาดามาต่อสายยางไปเลี้ยงหัวพ่นหมอก ให้มันพ่นน้ำรดผักเองวันละ 2 ครั้ง จะได้ไม่ต้องคอยรดเอง สบายดี อีกประมาณหนึ่งเดือนผักรุ่นนี้ถึงจะเริ่มเก็บกินได้ ถึงเวลานั้น หากกระรอกไม่ยกพลลงเก็บกินล่วงหน้าเสียก่อน ผมจะถ่ายรูปผักมาโชว์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์