Latest

หมอสันต์ตอบคำถามใน Spiritual Retreat-14

หมอสันต์ตอบคำถามให้สมาชิกใน Spiritual Retreat-14

สมาชิก1.

ทำไมเราต้องพยายามกระตุ้นตัวเองให้ตื่นเวลานั่งทำสมาธิ ถ้ามันง่วงก็หลับเสียเลยไม่ดีหรือ

หมอสันต์

การนั่งทำสมาธิหรือ meditation เรามีวัตถุประสงค์สองอย่าง แล้วแต่ใครมีวัตถุประสงค์อย่างไหน คือ

     1. หากทำสมาธิเพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับ ถ้าเพื่อวัตถุประสงค์นี้ก็ทำตามแบบที่คุณว่ามาได้เลย คือตกภวังค์ง่วงลงเมื่อไหร่ก็ล้มตัวลงนอนหลับผล็อยได้ทันที

     2. หากทำสมาธิเพื่อมุ่งหลุดพ้นไปจากกรงของความคิดของตัวเอง เราจะยอมให้มีความง่วงมาชักใบให้เรือเสียไม่ได้ เพราะเราจะต้องไปให้ถึงสมาธิในระดับลึก (ฌาน) เพื่อจะได้อาศัยพลังของสมาธิไปทำให้เกิดปัญญาญาณ (intuition) ซึ่งเป็นพลังปัญญาที่จะชี้ช่องทางให้เราวางความย้ำคิดได้สำเร็จ

     ลำพังแค่ความเข้าใจว่าการย้ำคิดเป็นสิ่งไม่ดีต้องวางมันลงซะ แค่นั้นมันยังไม่พอที่จะทำให้วางความย้ำคิดได้จริงๆดอก เพราะวงจรความย้ำคิดมันได้เกิดขึ้นซ้ำซากมานานเสียจนมันใหญ่ล่ำปึ๊กมีพลังที่จะเกิดซ้ำได้อีกมากมายไม่รู้จบ ขณะที่ความเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิดเป็นแค่ความคิดเล็กๆที่เพิ่งมาใหม่จึงไม่มีพลังอะไรจะไปต่อกรกับความย้ำคิดได้เลย พูดง่ายๆว่าถ้าจะเอาความคิดบวกไล่ความคิดลบมันไม่ได้ผลเพราะความคิดลบมันใหญ่กว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นความคิดลบมันก็ขยันสร้างพันธมิตรในหมู่ความคิดลบด้วยกันเพื่อให้เกิดการบั่นทอนพลังของความคิดบวกในรูปของความสงสัย การคอยตั้งคำถาม การชี้ช่องให้ไปเสาะหาคำตอบจากแหล่งอื่นๆอย่างไม่รู้จบสิ้น เป็นต้น แต่สมาธิระดับลึกจะช่วยหยุดความคิดทุกอย่างลงกึกได้เด็ดขาดไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กขนาดไหน อย่างน้อยก็ในช่วงที่อยู่ในฌาน แล้วเมื่อค่อยๆถอยออกจากสมาธิระดับลึกขนาดนั้นด้วยการปล่อยจิตไปไม่ควบคุม จังหวะที่ถอยนี้หากเรารู้จักเยื้องย่างให้ดี หมายความว่าคอยป้องกันความคิดขี้หมาไม่ให้เกิดขึ้นด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายเพื่อยั้งไม่ให้ความย้ำคิดเกิดได้ง่ายๆเพราะความย้ำคิดหรือความเครียดจะเกิดไม่ได้ขณะร่างกายผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็เอาความสนใจไปจอดหรือพัวพันไว้กับพลังงานของร่างกายในรูปของการลาดตระเวณรับรู้ความรู้สึกบนผิวกายอยู่เนืองๆ ทำอย่างนี้ความคิดขี้หมาก็จะไม่มีพลังที่จะเกิดเพราะมันเกิดไม่ได้เนื่องจากมันต้องอาศัยแรงขับดันจากความสนใจ แต่ว่าความสนใจได้ถูกล็อคให้พัวพันอยู่กับพลังงานของร่างกายเสียแล้ว ความคิดที่จะโผล่ขึ้นมาได้ในช่วงนี้จึงเป็นความคิดในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหัวของเรามาก่อนเลย เป็นการมาแบบปิ๊ง..ง โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ที่เรียกว่าปัญญาญาณนั่นแหละ ซึ่งมักจะเป็นความคิดแบบที่มาถูกที่ถูกทางทันเวลาพอดีเสมอ ทำให้พวกพันธมิตรของความคิดขี้หมาที่คอยแต่จะยกประเด็นตั้งข้อสงสัยโน่นนี่นั่นถูกตีตกไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งเราจะเห็นด้วยกับไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมานี้จนเผลอตัวผงกหัวเห็นด้วยงก งก งก อยู่คนเดียวเลยทีเดียว

     สรุปว่าตกภวังค์แล้วหากจะเอาดีทางนอนหลับก็ให้หลับเลย แต่หากจะเอาดีทางหลุดพ้นต้องสะดุ้งตัวเองให้ตื่นขึ้นมา การสะดุ้งตัวเองนี้เป็นเทคนิคหรือตัวช่วยที่แทบจะขาดไม่ได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหร้บคนแก่ที่สมาธิยังไม่แข็งแรง เพราะโดยธรรมชาติคนสูงอายุความแหลมคมของอายตนร่างกายหรือที่เรียกว่ากันว่าความแก่กล้าของอินทรีย์ได้แผ่วลงไปเสียแล้ว

สมาชิก2. 

     ที่คุณหมอว่า “วางความคิด” นี้เป็นอันเดียวกับที่พระชอบพูดว่า “ปล่อยวาง” หรือเปล่า

หมอสันต์

     “ปล่อยวาง” ผมเดาว่าพระท่านคงหมายถึงการแกะความคิดยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มันไม่ใช่ของจริงออก ผมเข้าใจว่าเท็คนิคแบบนั้นต้องพิจารณาไตร่ตรองวิเคราะห์สอบสวนเนื้อหาสาระของความคิดว่าแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไร มันบ่มิไก๊ มันเป็นแค่การชงขึ้นมาของตัวตนซึ่งเป็นชุดความคิดชุดหนึ่งแค่นั้นเอง มันสมควรถูกทิ้ง ทิ้งมันไปเสียเถอะ อย่าไปยึดถืออยู่อีกเลย

     ส่วนการ “วางความคิด” ที่ผมพูดถึงบ่อยๆนี้ผมหมายถึงเทคนิคการถอยความสนใจออกมาจากความคิดดื้อๆโดยไม่สนใจว่าความคิดนั้นว่ามันมีสาระไส้ในว่าอย่างไร ไม่ต้องไปพิจารณาไปวิเคราะห์ทั้งสิ้น ถูกผิด ดีชั่วไม่สนทั้งนั้น ถอยออกมาจากความคิดให้หมดแล้วเอาความสนใจไปจดจ่อพัวพันอยู่กับอย่างอื่นเช่นกับลมหายใจ หรือกับพลังงานของชีวิตซึ่งเรารับรู้ได้ในรูปของความรู้สึกบนผิวกาย 

สมาชิก3. 

     ผมได้ใช้เทคนิคสังเกตหรือตามดูความคิด แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ ผมนอนตามดูความคิดทั้งคืนตั้งแต่ห้าทุ่มยันรุ่งเช้า ความคิดนี้มา..ผมดู ความคิดนั้นมา..ผมก็ดู อยู่อย่างนี้ หลับไม่ได้สักที

หมอสันต์

     การสังเกตความคิดเป็นเทคนิคที่ผมตั้งใจให้หมายถึง aware of a thought ไม่ใช่การคิด หรือ thinking a thought การสังเกตความคิดเราสังเกตจากข้างนอกไม่เข้าไปเอารายละเอียดข้างใน และโดยธรรมชาติความคิดเมื่อถูกเราสังเกตมันจะฝ่อหายไปทันที เพราะตัวความสนใจนั้นมันอยู่ได้ที่เดียว ถ้าไม่อยู่ที่ความคิดมันก็มาอยู่ที่ผู้สังเกต หากความสนใจมาอยู่ที่ผู้สังเกต ความคิดมันก็แห้งตายเพราะตัวให้พลังแก่ความคิดคือความสนใจ ตัวความคิดเองมันไม่มีพลังที่จะนำเสนอตัวเองดอก เมื่อเราเผลอไปสนใจมันเมื่อไหร่นั่นแหละมันจึงจะมีพลัง การที่คุณตามดูความคิดได้ทั้งคืนนั้นลักษณะมันเป็นการเผลอเข้าไปคลุกอยู่ในความคิดมากบ้างน้อยบ้างด้วยมากกว่า

     ผมว่าเทคนิคสังเกตความคิดอาจจะไม่เหมาะก้บคุณ หมายความว่าไม่ถูกจริต ทำไมคุณไม่ลองเทคนิคอื่น คือไม่ต้องยุ่งกับเนื้อหาของความคิดเลย เช่นการผ่อนคลายร่างกาย การถอยความสนใจไปจ่ออยู่กับลมหายใจหรือกับพลังงานของร่างกาย (body scan) ลูกเดียว เผลอคิดก็ถอยไปอยู่กับลมหายใจหรือไป body scan อีก

     ถ้ายังสู้ความคิดไม่ไหวอีกคุณลองใช้วิธีตามเสียงไปก็ได้ เช่นเปล่งเสียงโอมแล้วเอาความสนใจตามความสั่นสะเทือนของเสียงจากดังไปค่อยจนไปถึงความเงียบ วิธีนี้ก็จะผลักความคิดออกไปได้แรงขึ้นกว่าการนั่งสมาธิเงียบๆ เพราะมันมีทั้งเสียงและทั้งการสั่นสะเทือนของร่างกายเป็นตัวช่วย อย่างน้อยก็ในขณะเปล่งเสียงดังๆถี่ๆ พอความคิดน้อยลงก็เปล่งเสียงค่อยลงๆและห่างไปๆ จนเงียบได้โดยไม่มีความคิด ถ้าไม่ถนัดเสียงโอมก็เสียงพุทโธก็ได้ ใช้หลักยิ่งความคิดมาแรงเราก็เปล่งเสียงยิ่งดังและยิ่งถี่เหมือนกัน

สมาชิก 4.

     ทำไมเวลาเราผ่อนคลายร่างกายแล้วความคิดก็ยังมี

หมอสันต์

     คุณมานั่งตรงหน้าผมนี่เลย ที่ผมให้เธอมานั่งใกล้ไม่มีอะไรหรอก เธอนั่งไกลผมมองไม่เห็นหน้าเธอเพราะผมแก่แล้วตาไม่ดี ผมบอกให้เธอทำอะไร ให้ทุกคนทำตามด้วยนะ เอาละ คุณนั่งตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น หลับตา รู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่ตรงนี้ กำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก เข้า ออก เข้า ออก

     คราวนี้คุณหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกยาวๆ พร้อมๆกับผ่อนคลายร่างกายลงไปด้วย

     คราวนี้เราจะไล่เอาความสนใจไปจี้ให้ร่างกายผ่อนคลายทีละส่วนนะ เริ่มที่ใบหน้าก่อน คุณหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้าลง ผ่อนคลายหัวคิ้วด้วย เราจะรู้ว่าเราผ่อนคลายได้จริงหรือไม่ก็ไม่ยาก คุณลองยิ้มที่มุมปากดูซิ ยิ้มยังไม่ออก แปลว่ายังไม่ผ่อนคลาย

     ตัวที่ป้องกันไม่ให้เราผ่อนคลายคือความคิด คือความคิดนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของดราม่า มันชงขึ้นมาจากตัวตนความเป็นบุคคลของเรา มันจะคอยจี้เราว่าไม่ได้นะ เราต้องเป็นเรา จะไปโอนอ่อนผ่อนตามไม่ได้ เราเป็นนางเอกเรื่องศาลาคนเศร้า เราจะไปยิ้มไม่ได้ เสียสถาบันของเราหมด แต่ผมจะบอกคุณว่าคุณอย่าไปสนใจความคิด คุณสั่งการให้กล้ามเนื้อของคุณผ่อนคลายลูกเดียว ไม่ต้องยุ่งกับความคิด เพราะกล้ามเนื้อนี้คุณสั่งมันได้อย่างที่เราได้ทดลองไปเมื่อตะกี้แล้ว

     เอัาลองอีกรอบ ไล่ความสนใจไปบนใบหน้า สั่งให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ผ่อนคลาย ยิ้มที่มุมปาก ยังยิ้มไม่ออกอีก

     คราวนี้คุณลืมตาดูผมนะ ทุกคนทำตามนะ ผมจะหัวเราะ หัวเราะดื้อๆแบบไม่มีเรื่องตลกอะไร แล้วคุณดูและทำตามผม เอ้า ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า โอเค. คุณผ่อนคลายได้แล้ว คือคุณต้องเข้าใจว่าที่คุณบอกว่าคุณผ่อนคลายแล้วความจริงมันเป็นความคิดหรือผู้กำกับในใจคุณพากย์ให้คุณฟังว่าโอเค. ผ่อนคลายแล้ว นี่ไง แต่แท้จริงแล้วคุณยังไม่ผ่อนคลายเพราะความคิดมันห้ามคุณไว้ คุณยังยิ้มไม่ออกจะเรียกว่าผ่อนคลายได้อย่างไร การผ่อนคลายคุณต้องยิ้มได้ หัวเราะได้ยิ่งดี

สมาชิก5. 

     ความเศร้า บางทีมันมาโดยไม่ได้คิดอะไร ความคิดไม่มี แต่เศร้า แล้วจะให้ทำอย่างไร

หมอสันต์

     เป็นความจริงที่ว่าความเศร้ามันมีอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งมันเป็นความรู้สึกหรือ feeling ทั้งส่วนที่เป็นความรู้สึกบนร่างกายและในใจ คือมันหดๆ หู่ๆ

     ส่วนที่สองเป็นความคิดต่อยอดบนความรู้สึกหดๆหู่ๆ ส่วนนี้เป็นดราม่านะ คือเป็นส่วนที่ใจคุณแต่งขึ้นเอง คุณอยากจะเล่นบทเศร้าคุณเล่นได้ โดยคุณรู้สึกหรือ feel ส่วนที่เป็น feeling อย่างลึกซึ้งคุณทำได้ มันจะหดขนาดไหน จะหู่ขนาดไหน คุณบอกมันว่าอย่าเพิ่งไปไหนนะ ขอเล่นด้วย ขอทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้งหน่อย แต่มีข้อแม้ว่าอย่าดราม่านะ คืออย่ามีความคิดต่อยอด ความรู้สึกหรือ feeling ทั้งหลาย มันมาแล้วมันก็ไป คุณลึกซึ้งกับมันได้ ไม่ต้องหนี พอคุณซึ้งกับมันแล้วมันก็ไม่อยากมาหาคุณอีก ข้อสำคัญคือคุณอย่าดราม่า อย่าไปคิดอะไรต่อยอด

สมาชิก6. 

     อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในเรื่อง spirituality

หมอสันต์

     ชีวิตมีสามส่วนนะ ร่างกาย ความคิด ความรู้ตัว ตัวเราที่แท้จริง หมายความว่าส่วนที่ถาวรที่สุดคือความรู้ตัว ขณะที่ร่างกายและความคิดเป็นเพียงเครื่องมือของการใช้ชีวิต เหมือนรถยนต์เป็นเครื่องมือในการเดินทาง เรื่องสำคัญที่สุดคือคนเราเป็นทุกข์เพราะเราใช้เครื่องมือดีๆที่ธรรมชาติให้มาไม่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิด เมื่อเราใช้เครื่องมือดีๆไม่เป็น เครื่องมือดีๆนั้นก็ทำให้เราบาดเจ็บ เหมือนเด็กได้มีดคมๆไปถือ แป๊บเดียวเขาก็ปาดนิ้วตัวเองเลือดสาด

     คุณต้องเข้าใจว่าความคิดเป็นเครื่องมือที่ธรรมชาติให้เรามาเพื่อช่วยให้เราดำรงชีวิตให้อยู่รอด (survival) พ้นจากนั้นไปแล้วความคิดไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะชีวิตในส่วนที่จะต้องอยู่ให้รอดก็คือชีวิตในส่วนที่อายตนะของเรารับรู้ได้หรือชีวิตในโลกของภาษาเท่านั้น แต่ชีวิตหรือ existence นี้ส่วนใหญ่มันดำรงอยู่นอกเหนือจากส่วนที่อายตนะของเราจะรับรู้ได้ มันอยู่นอกเหนือภาษา ซึ่งเป็นส่วนที่ความคิดไปไม่ถึง ดังนั้นเมื่อหมดเรื่อง survival แล้วเราจะต้องวางความคิดเหมือนเราเก็บเครื่องมือที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วลงลัง แต่นี่นอกจากเราจะไม่เก็บลงลังแล้วเรายังขยันเอาเครื่องมือนี้มาทิ่มแทงตัวเราเอง เรื่องที่จบไปแล้วเราเป็นทุกข์ เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เราเป็นทุกข์ ทั้งหมดนี่คือความคิดทั้งนั้นนะ

สมาชิก7. 

     ถ้าชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกเหนือจากการเข้าถึงโดยอายตนะที่เรารู้จัก แล้วเราจะเข้าถึงชีวิตส่วนนั้นได้อย่างไร

หมอสันต์

     ชีวิตเราไม่ได้รับรู้สิ่งเร้าผ่านอายตนะที่เรารู้จักเท่านั้นนะ เรายังสามารถรับรู้ด้วยการ “รู้สึก” หรือ “feel” สิ่งรอบตัว อย่างบางคนพอมาใกล้ต้วเราเราแทบจะรู้เลยว่าหมอนี่มาดีหรือมาร้าย ยิ่งเราไม่มีความคิด เรายิ่งรู้สึกเอาได้ง่าย ย้ำอีกทีนะ ยิ่งเราไม่มีความคิด เรายิ่งรู้สึกอะไรได้ง่าย ดังนั้นการจะเข้าถึงชีวิตที่พ้นไปจากอายตนะที่เราเคยใช้ ให้เริ่มด้วยการวางความคิดให้สำเร็จก่อน ให้ตื่นอยู่ได้โดยไม่มีความคิดก่อน เอางี้ นี่ตะวันใกล้จะตกแล้ว อีกสิบห้านาทีคงจะตก ผมจะเบรคให้ทุกท่านไปนั่งดูบรรยากาศตะวันตกยามเย็น ไม่ให้แค่ไปนั่งดูด้วยตาฟังด้วยหูเท่านั้นนะ แต่ให้รู้สึกหรือ feel บรรยากาศยามตะวันตกดิน ไม่ให้มีความคิดด้วย ไม่ต้องเอาผลประโยชน์ส่วนตนของความเป็นบุคคลของเราไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่ต้องพากย์ ไม่ต้องตัดสินอะไรทั้งสิ้น แค่ให้ความรู้ตัว feel บรรยากาศของตะวันตกดินตามที่มันเป็น อาจจะเป็นการยากนิดหน่อยเพราะพวกเราล้วนอายุมากแล้วและลืมไปแล้วว่าเราจะ feel สิ่งแวดล้อมได้อย่างไรโดยไม่ให้มีการคิดตัดสิน ถ้าเป็นเด็กอาจจะทำใด้ง่าย แต่ถึงจะยากก็ยังทำได้ แล้วพรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาคุยกันว่าเราเรียนรู้อะไรจากการทำอย่างนี้บ้าง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์