Latest

(เรื่องไร้สาระ 5) ปิคนิคระดับหรู

    สมัยเป็นหมออยู่ที่นิวซีแลนด์ ผมได้ติดนิสัยฟุ่มเฟือยของฝรั่งกีวี่มาอย่างหนึ่ง คือการชอบไปปิคนิค อาทิตย์ไหนไม่ได้อยู่เวรเป็นต้องขนลูกเมียและเสื่อไปปูปิคนิคในปาร์คในเมืองบ้าง นอกเมืองบ้าง พอกลับมาอยู่บ้านเรามันไม่มีปาร์คให้นั่งปิคนิคสบายๆอย่างนั้นแล้ว แต่นิสัยเดิมก็แก้ไม่หาย บางครั้งพื้นที่เป็นพงรกชัฎ แถมร้อนตับแล่บ ยุงแมลงเพียบ คนอื่นไม่มีใครเอาด้วย แต่ผมก็ปูเสื่อหรือวางเก้าอี้ปิคนิคของผมอยู่คนเดียว

    เดือนที่แล้วผมมีโอกาสได้แวะไปดูที่ดินเก่าแก่ของตัวเอง มีอยู่ประมาณ 2 ไร่อยู่ริมคลองแห้งเล็กๆที่ไม่มีน้ำ อยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์นี้เอง กะว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศหามุมเงียบๆปูเสื่อนั่งสมาธิอยู่คนเดียวสักพัก แต่พอไปถึงก็พบว่าไฟป่าได้เผาต้นกระถินยักษ์และหญ้าวอดดำสนิทไปหมด ผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นมีใครก็จึงเอาเสื่อจากท้ายรถไปปูปิคนิคบนพื้นขี้เถ้าดำๆนั่นแหละ คลองนี้สมัยก่อนฝรั่งที่เป็นเจ้าของมวกเหล็กวาลเลย์ทำฝายแม้วกั้นคลองไว้เป็นช่วงๆ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพราะไม่มีน้ำ ผมปักหลักปูเสื่อนั่งอยู่กลางฝายแม้ว ปลีกวิเวกตากยุงยามค่ำอยู่คนเดียว ลมพัดขี้เถ้าคลุ้ง กลิ่นขี้เถ้าแห้งฉุนจมูกกึก คิดถึงว่าสมัยก่อนที่นี่คงเป็นป่าทึบเพราะมวกเหล็กวาลเลย์นี้มันเป็นส่วนหนึ่งของป่าดงพญาเย็น คิดถึงเพลงของคณะวนศาสตร์ที่ตัวเองเคยร้องสมัยเรียน ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน

     “..ป่าดง พงไหน 
บุกไปเราไม่ย่อท้อรอรา
เรารัก พนัสไพร เพราะป่าไม้เป็นของเมืองไทย
เฝ้าถนอม ทรัพย์สินของชาติไว้
ลำเค็ญเพียงไร ให้ชาติไทยเรานั้นรองเรือง
ให้ชาติไทยเรานั้นรุ่งเรือง..”

     คิดถึงคณะวนศาสตร์ ก็เลยคิดไปถึงหลักวิชาปลูกป่าไม้ที่จะต้องนำด้วยการเคลียริ่ง พล้านติ้ง วอเตอริ่ง, วี้ดดิ้ง (clearing, planting, watering, weeding) ในประเด็นที่ต้องเคลียริ่งก่อนนั้นคือการเอาต้นไม้เก่ารกๆออกแล้วเปิดหน้าดินให้ราบโล่งซึ่งเป็นวิธีที่ผมเห็นว่าไม่ค่อยเข้าท่าเพราะฝนมาทีเดียวหน้าดินก็ไปหมด แถมพอลงกล้าไม้ลงไปแล้วก็ไม่มีพืชพี่เลี้ยงให้ร่มเงาทำให้ตายมากกว่ารอด แต่ริมสองฝั่งคลองลำรางสาธารณะเบื้องหน้าผมตอนนี้เทพอัคนีได้ทำเคลียริ่งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว มันน่าลองปลูกป่าตามหลักวิชาวนศาสตร์ดูนะ หากเอารถบัคโฮมาฝังเศษกิ่งไม้ที่เกะกะเสีย ก็พร้อมที่จะปลูกป่าได้ทันที การปลูกป่าด้วยต้นไม้พันธ์สูงใหญ่ขึ้นมาบนสองฝั่งคลองสาธารณะนี้ ถ้าปลูกยางนาก็คงได้ราว 100-200 ต้น ไปภายหน้ามันอาจจะเป็นคลองยางนาให้คนรุ่นหลังได้ใช้นั่งพักผ่อนหลบแดดและเก็บเห็ดก็ได้ คิดได้ดังนั้นแล้วก็จึง..ลงมือเลย

     การปลูกป่า แค่ปลูกต้นไม้ 200 ต้นด้วยตัวผมเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังพอมีแรงลุยอยู่ แต่การจะดูแลรักษาด้วยวี้ดดิ้งคือดายหญ้าและวอเตอริ่งคือรดน้ำเนี่ยสิครับ มันหืดขึ้นคอเพราะ มันต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นทรัพยากรหายากสำหรับผม ในเรื่องน้ำนั้นประสบการณ์ปลูกป่าที่อื่นๆมาก่อนสอนผมว่าถ้าลากสายยางหรือหิ้วกระแป๋งรดน้ำไปไม่ถึงแล้วก็อย่าไปปลูกให้เหนื่อยเลย เพราะพอหมดฝนและไฟป่ามามันก็เด๊ดสะมอเร่หมด คราวนี้ผมจึงวางแผนเรื่องการรดน้ำไว้ก่อนเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียด ตั้งถังแกรนิต เดินท่อดำ ลากสายยางเลียบฝั่งคลอง ทางด้านต้นกล้า แดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้ หากทิ้งกล้าไม้ไว้กลางแดดแค่ข้ามวันก็จะตายหมด ผมจึงให้ผู้ช่วยไปหาซื้อไม้ไผ่เพื่อเอามาทำโครงเรือนเพาะชำขนาดเล็กขึ้น เอาซาแลนขึ้นพาดแทนหลังคาเพื่อพรางแดด เปิดข้างโล่งไว้ ผมชอบไม้ไผ่เพราะมันโรแมนติกดี

เนอร์สเซอรี่ โน..โรแมนติก

     แต่พอลูกน้องซื้อของมาจริงกลับไปซื้อเหล็กกลมฉาบผิวมันวับมาแทนเสียฉิบ

     “เฮ้ย บอกว่าให้เอาไม้ไผ่ไง ไหงไปซื้อเหล็กมาแทนละ” เขาตอบว่า

     “ผมเช็คราคาแล้ว ไม้ไผ่กับเหล็กราคาเท่ากัน ผมเลยซื้อเหล็กเพราะมันทนกว่าครับ”

     อึ้ง..กิม กี่ ไปเลย ผมเลยแกล้งถามประชดว่า

     “เสาก็จะเอาเหล็กด้วยหรือ” เขาตอบว่า

     “ผมเตรียมไม้กระถินที่เหลือจากไฟไหม้ไว้ทำเสาแล้วครับ”

     รำพึงในใจว่าเดี๋ยวนี้ไม้ไผ่แพงเท่ากับเหล็กเลยรึนี่ ไม้ไผ่นี่มันหญ้าดีๆนี่เอง เด็กก็ปลูกได้ เพราะตอนผมอายุแปดขวบเคยช่วยคุณตาชำต้นไผ่ปลูกต้นไผ่ เออ..แล้วทำไมเราไม่ปลูกไผ่ไว้ใช้งานเองนะ แต่คิดแล้วก็ต้องรีบหยุดความคิดไว้กลางคันเพราะต้องหันมาสนใจเรื่องความโรแมนติกของเนอร์สเซอรี่ที่ตรงหน้า ซึ่งจะกลายเป็นเนอร์สเซอรี่โนโรแมนติกไปเสียแล้ว ยังดีที่มีเสาไม้กระถินยักษ์พอให้มีความรู้สึกโรแมนติกเหลืออยู่บ้าง ผมถ่ายรูปเนอร์สเซอรี่นี้มาให้ดูด้วย เลือกมุมกล้องที่คุณดูไม่ออกหรอกว่ามันใช้เหล็กกลมที่น่าเกลียดแทนไม้ไผ่

กระท่อมเขียว อย่าถามถึงคนออกแบบ

     แล้วเอากล้าไม้ป่าเข้าไปเก็บไว้ในนั้นก่อนเพื่อทะยอยปลูก ไปปลูกไม้ป่าแต่ละทีก็ปูเสื่อปิคนิคกลางดินทีหนึ่ง มีความสุขมาก..ก

     พอมีความสุขแล้วก็ แหม..อยากให้หมอสมวงศ์มาปิคนิคด้วย แต่เธอเป็นคนแพ้ชนบท โดยเฉพาะชนบทประเภทรกๆ เพราะเธอแพ้ยุงและแมลงทุกชนิด แล้วเธอก็ไม่เหมือนผมที่ปลดทุกข์ในสุมทุมพุ่มไม้ตรงไหนก็ได้ การจะชวนเธอมาผมต้องสร้างความศิวิไลซ์ขึ้นมาก่อน ฮ้า คิดได้แล้ว โรงเก็บจอบที่บ้านนกฮูก ใช่แล้ว สมัยปลูกป่าหลังบ้านนกฮูกเคยทำโรงเก็บจอบไว้หลังหนึ่ง ตอนนี้ถูกทิ้งอยู่ในพงเพราะไม่ได้ใช้ ยกมันมาไว้ที่นี่ดีกว่า เพราะงานปลูกป่าริมคลองแห้งนี้คงจะต้องติดตามรดน้ำพรวนดินดายหญ้าต่อไปอีกอย่างน้อยก็สองปี โอเค้. เอ้า เฮ้..ปฏิบัติการ

      ลากมาแล้วจอดมันไว้ตรงริมคลอง ผมตั้งชื่อมันว่ากระท่อมเขียว เพราะมันเป็นกระท่อมฝีมือออกแบบของผมเอง เป็นสังกะสีสีเขียวอึ๊ดไร้เรื่องราวใดๆ มีแต่หน้าต่างกระจกกรอบขาวแก้เลี่ยน ทาสีประตูไม้ผุๆเพื่อย้อมแมวให้ดูใหม่ขึ้นเสียหน่อย คนจะได้ไม่รู้กำพืดเดิมว่ามันเป็นแค่ที่เก็บจอบ แล้วไปบอกหมอสมวงศ์ว่าไปปิคนิคดูกระท่อมเขียวกันไหม

     ปิคนิควันนี้เนื่องในโอกาสจะมาปลูกต้นไม้ล็อตสุดท้าย เป็นปิคนิคที่เรียบๆ ง่ายๆ ตั้งม้านั่งปิคนิคแบบพับได้ แล้วตั้งโต๊ะปิคนิคตัวเล็กๆ เสียบร่มสีแดง 199 บาทจากอิเกียเมื่อปีก่อน มีกาแฟ ขนมปังซาวโดแบบฝรั่งเศษที่เพื่อนทำมาฝาก คุ้กกี้ทำจากถั่วบวกนัทฝีมือหมอสมวงศ์ และผลไม้ หากถือตามมาตรฐานของเพื่อนชาวอังกฤษ อย่างนี้ถือว่าเป็นปิคนิคที่อู้ฟู่แล้ว เพราะพวกเพื่อนผมที่เป็นคนอังกฤษเวลาเอาคุ้กกี้ออกมาปิคนิคต้องพร่ำขอโทษขอโพยในความฟุ่มเฟือยของตัวเอง คนอังกฤษรุ่นโน้นปิคนิคด้วยชาร้อนอย่างเดียวบนโต๊ะปูผ้าขาวประดับด้วยแจกันเสียบดอกหญ้า..นี่ถือว่าสุดหรูละ แม้แต่น้ำตาลก็ยังมีไม่ได้เพราะถูกจัดเป็นของฟุ่มเฟือยเกินชีวิตสามัญชน

อะไรที่วางบนโต๊ะไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของปิคนิค

    การจะมีอะไรอร่อยหรูเริดแค่ไหนออกมาวางบนโต๊ะไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของปิคนิค คุณค่าที่แท้จริงของปิคนิคอยู่ที่การได้มาสัมผัสธรรมชาติ การได้ฟีล (feel) ธรรมชาติรอบตัวโดยไม่ต้องคิดพิพากษาตัดสินอะไร แค่รับรู้ธรรมชาติรอบๆตัว ต้นไม้ ดอกไม้ สวยบ้าง แห้งบ้าง ดินเปลือยเปล่าหลังไฟไหม้ หญ้าธรรมชาติ สูงๆต่ำๆ สายลมแผ่วบ้าง แรงบ้าง หินในคลองแห้ง ก้อนเล็กบ้าง ก้อนใหญ่บ้าง แสงแดดอุ่นบ้าง ร้อนบ้าง เสียงนก ดังบ้าง เบาบ้าง ได้กำซาบ ซาบซึ้งบรรยากาศ เป็นส่วนหนึ่งของมัน โดยไม่ต้องคิดอะไรต่อยอด แค่นี้ปิคนิคก็สมบูรณ์แล้ว

     ป่ายางนาริมคลองนี้ อนาคตจะรุ่งหรือริ่ง นั่นเป็นเรื่องของอนาคตยังไม่ต้องไปคาดการณ์ ผมชอบปลูกป่าไม่ใช่เพราะแค่ว่าตัวเองเคยเรียนเกษตรมา แต่เป็นเพราะพออายุมากก็อยากทำหน้าที่ของคนคนหนึ่งที่ “ได้” หรือ “เอา” จากโลกมาแยะแล้ว มีอะไรที่จะคืนให้โลกได้บ้างผมก็อยากรีบๆคืนให้ ก่อนที่จะถึงเวลาคืนสมบัติสุดท้ายคือร่างกายนี้ให้เป็นปุ๋ยแก่โลกต่อไป การปลูกไม้ป่าเป็นวิธีคืนสิ่งดีให้แก่โลกที่ผมทำได้ง่ายและชัวร์ว่ามันดีต่อโลกแบบตรงไปตรงมากที่สุด ผมจึงมีความสุขทุกครั้งที่ได้ปลูกป่า

     ขอบคุณธรรมชาติที่เปิดโอกาสให้มีปิคนิคเล็กๆนี้ ซึ่งเป็นอีเว้นท์ดีดีอีกหนึ่งครั้ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์