Latest

จะซื้อที่ดินทำเกษตรเพื่อการอยู่รอดดีไหมคะที่ปากช่องค่ะ2ไร่

คำถาม จะซื้อที่ดินทำเกษตรเพื่อการอยู่รอดดีไหมคะที่ปากช่องค่ะ2ไร่

………………………………

ตอบครับ

     ประเด็นที่ 1. การซื้อที่ดิน ถ้ามีเงิน การซื้อที่ดินที่มีน้ำทำเกษตรได้ ก็ดีกว่าเก็บไว้เป็นเงินในธนาคารครับ เพราะเท่าที่ผมสังเกตความเป็นมาตั้งแต่ผมหนุ่มจนแก่ ผมพบว่าเงินในธนาคารเสื่อมค่าลงไปได้มาก ประมาณ 50-60 เท่า ยิ่งยุคนี้ซึ่งรัฐบาลประเทศใหญ่เล่นพิมพ์แบงค์กงเต๊กออกมาใช้เป็นว่าเล่น ผมเดาเอาว่าในอนาคตเงินยิ่งเสื่อมค่าเร็ว แต่ที่ดินที่มีน้ำผลิตอาหารได้มีค่าค่อนข้างคงที่ ไม่เสื่อมค่า

     ประเด็นที่ 2. การจะอยู่รอด ผมหมายถึงเมื่อตกงานยาวซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนจำนวนมากนับจากนี้เป็นต้นไป อย่างน้อยก็ในอีกสองปีข้างหน้า ผมยังมองไม่เห็นว่าที่ตกงานอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ณ ขณะนี้จะกลับมามีอาชีพมีงานทำได้สักครึ่งหนึ่งหรือเปล่าผมยังสงสัยอยู่ ที่พูดนี่ไม่ได้อยากให้กังวลถึงการตกงาน แต่จะให้มองช่วงที่ตกงานว่ามันมีปัจจัยจำเป็นที่จะทำให้อยู่รอดอย่างมีชีวิตที่ดีด้วย ซึ่งเราควรต้องขวานขวายมี ปัจจัยเหล่านี้สำหรับผมมีสี่อย่างเท่านั้น คือ

(1) อาหาร 
(2) ที่อยู่อาศัย 
(3) การมีสุขภาพดี 
(4) การมีทักษะที่จะวางความคิด

     นี่ผมนับเฉพาะปัจจัยจำเป็นที่เราต้องขวานขวายหามาเท่านั้นนะ ไม่นับปัจจัยจำเป็นอื่นๆที่มันฟรีหรือมันได้มาง่ายๆแบบไม่ต้องขวานขวาย เช่น อากาศ น้ำ เสื้อผ้า ยารักษาโรค (ซึ่งได้ฟรีจากระบบ 30 บาท) และไม่นับปัจจัยอื่นๆที่ไม่จำเป็นอย่างเช่น รถยนต์ ปริญญา ดังนั้นการจะอยู่รอด คุณก็แค่ขวานขวายให้มีสี่อย่างข้างต้น คุณอยู่รอดแหงๆ และรอดอย่างดีด้วย ไม่ว่าคุณจะมีงานหรือไม่มีงานทำก็ตาม

     ประเด็นที่ 3. การทำเกษตร เป็นสิ่งที่ดีหากคุณทำเกษตรแบบเป็นวิถีชีวิต (Lifestyle Agriculture) หมายความว่าทำเพื่อใช้ชีวิตให้สนุกและให้ชีวิตมีคุณค่าเช่นได้ปลูกต้นไม้ให้โลกมันเขียวขึ้น และเพื่อการพึ่งตัวเองในเรื่องอาหารที่อยู่และสุขภาพ การทำเกษตรแบบนี้ดีแน่ แต่หากคุณทำเกษตรเพื่อเป็นอาชีพ หมายถึงลงทุนทำหวังขายผลผลิตให้ได้กำไรเอาเงินมา การเกษตรแบบนั้นไม่ดีครับ เพราะการเกษตรนี้ผมบอกก่อนว่ามันเอาเป็นอาชีพไม่ได้ ใครคิดจะเอาการเกษตรเป็นอาชีพผมรับประกันว่ามีแต่จะเจ๊งลูกเดียว ยิ่งคิดทำเกษตรแบบโลภมากหวังรวยเร็ว ก็ยิ่งจะเจ๊งเร็ว

     ความจริงในยุคสมัยต่อไป ไม่ไกลแหละ ในรุ่นของคุณนี้แหละ คนเราจะไม่จำเป็นต้องมีอาชีพแล้ว เพราะสิ่งที่เรียกว่าเป็นอาชีพทุกวันนี้ ต่อไปหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ทำแทนได้หมด ผู้คนส่วนใหญ่ในอนาคตจะมีชีวิตอยู่แบบใช้ชีวิตไปโดยไม่ต้องมีอาชีพ สมัยผมเด็กอยู่บ้านนอกคนในหมู่บ้านหากไม่นับครูที่โรงเรียนและแก่บ้านแล้ว คนอื่นผมก็ไม่เห็นใครมีอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งผมถือว่านั่นเป็นชีวิตที่ดี คนรุ่นคุณจะมีชีวิตที่ดีกว่าคนรุ่นผม เพราะคนรุ่นคุณไม่ต้องทำอาชีพ จึงจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตเต็มที่ คนรุ่นผมมัวแต่ตะเกียกตะกายทำอาชีพด้วยคิดว่ามันจำเป็นเพื่อความอยู่รอด มัวแต่เป็นห่วงอนาคตจนไม่ทันได้ใช้ชีวิตก็ตายเสียก่อน เพราะชีวิตเขาใช้กันที่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ใช้กันที่ในอนาคต ฉะนั้นผมแนะนำให้คุณทำเกษตรแบบเกษตรวิถีชีวิตโดยไม่ต้องห่วงว่าจะทำอาชีพอะไร คุณก็จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขได้

     ประเด็นที่ 4. พื้นที่การทำเกษตรต้องกว้างใหญ่แค่ไหน คุณบอกว่าจะซื้อที่ตั้งสองไร่ ผมมีความเห็นว่ามันมากไปนะ สำหรับการทำเกษตรแบบวิถีชีวิตคุณใช้ที่ดินงานเดียวก็เหลือแหล่แล้ว หนึ่งงานมี 100 ตารางวา เท่ากับ 400 ตารางเมตร คุณปลูกบ้านผมให้อย่างมากก็ไม่เกิน 100 ตรม. ถ้าคุณปลูกบ้านใหญ่กว่านั้นคุณจะไม่ได้ทำงานเกษตรแล้ว แต่จะได้ทำงานภารโรงแทน

     เหลือเนื้อที่อีก 300 ตารางเมตรไม่ว่าจะทำเกษตรอย่างขยันแค่ไหนคุณสองคนกับแฟนก็ทำไม่ไหวแล้ว (ถ้าคุณมีแฟนและแฟนคุณยอมทำด้วย) อย่าไปหวังจ้างแรงงานมาช่วยทำเกษตร ถ้าคิดอย่างนั้นคุณเดี้ยงตั้งแต่เริ่มต้น สมัยหนุ่มๆผมเป็นหมออยู่ที่สระบุรี ที่บ้านพักแพทย์เขามีที่ว่างข้างที่จอดรถประมาณสี่ตารางวา ผมก็ปลูกผักในที่แค่นั้น สามพ่อแม่ลูกกินผักต้มกันทุกวัน  กินไม่ทันเลยคุณเชื่อไหม เพราะพื้นที่แค่นั้นมันผลิตผักได้เยอะพอกินทุกวันทั้งปี

     แต่ถ้าคุณซื้อที่มาสองไร่จริงๆ ผมแนะนำว่าคุณใช้ที่แค่งานเดียวก็พอ ที่เหลือก็ปลูกเป็นป่าทิ้งไว้เพื่อให้โลกมันเขียวขึ้น ให้โลกมันเย็นขึ้น และตัวไม้ป่ายืนต้นมันก็เพิ่มค่าในตัวของมันเองไปทุกปีนอกเหนือจากค่าที่ดิน ส่วนที่ปลูกป่าแล้วนั้นคุณปลูกแล้วทิ้งเลย หน้าแล้งก็แค่รดน้ำต้นไม้และถกเถาวัลย์สักเดือนละครั้ง คุณไม่ต้องไปทำอะไรกับที่ตรงนั้นมากมายให้เหนื่อยอีก จะได้โฟกัสทำในเกษตรจริงๆในที่หนึ่งงานก็พอ วิธีนี้คุณจะได้ไม่หมดแรงเสียก่อน

     ประเด็นที่ 5. กระบวนทัศน์ทางเกษตรกรรม หากคุณยังไม่เคยทำเกษตรแต่คิดจะทำเกษตร ผมแนะนำให้คุณทดลองทำเล็กๆเช่นซื้อกระถางมาสองสามใบแล้วปลูกต้นไม้เอาไปวางไว้ริมหน้าต่างคอนโดหรือห้องเช่าที่คุณอยู่ ลองดูก่อนว่าคุณจะไปกับการเกษตรได้ไหม เพราะการทำเกษตรไม่เหมือนการทำงานอย่างอื่นที่คุณสั่งได้ทำได้อย่างที่คุณตั้งใจ แต่เกษตรกรรมเป็นงานที่คุณต้องเข้าหุ้นกับเทวดาฟ้าดิน คุณต้องรู้จักรอ หรือไม่ก็รู้จักอ่อนไหวลู่ลมไปกับเทวดาฟ้าดิน นี่เรียกว่ากระบวนทัศน์ทางเกษตรกรรม (agricultural paradigm) อย่างเช่นคุณฝังเมล็ดพืชไปลงไปในดินแล้วมันยังไม่งอก ไม่ใช่ว่าคุณจะไปเนรมิตรให้มันงอกเร็วขึ้นได้ คุณต้องรอปัจจัยที่จะทำให้มันงอกมีครบอันได้แก่ ความชื้น อุณหภูมิออกซิเจน และเวลา ช่วงที่รอคุณนอนเขลงรอแบบสบายใจ ไม่ใช่รอแบบลุ้นจนแทบจะจับเมล็ดยืดเสียด้วยมือตัวเอง หากคุณเข้าใจและพริ้วไหวโอนอ่อนผ่อนตามไปกับธรรมชาติของดินน้ำอุณหภูมิและแสงแดด ในที่สุดคุณจะพบว่าคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้และทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้โดยไม่ได้แยกส่วนออกมาเลย นั่นแหละ คือจุดที่คุณจะเริ่มมีความสุขกับการทำเกษตรกรรมแบบวิถีชีวิต

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์