Latest

ชีวิตนี้แค่รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้ไปถึงว่าคุณเป็นอะไร

อาจารย์คะ

หนู… SR… นะคะ หลังจากกลับจาก SR แล้วหนูเกาะติดและจริงจังตามแนวทางที่อาจารย์สอนทุกวัน คือมุ่งสู่ความหลุดพ้น แต่ยังมีข้อติดขัด คือ

1. มีความไม่มั่นใจว่าอย่างนี้คือความรู้ตัวใช่หรือไม่ นี่เป็นปลายทางที่เราจะมาแล้วใช่หรือไม่ หรือว่าเราหลงมาติดแหง็กอยู่ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปลายทาง ขออาจารย์แนะนำทางไปต่อด้วย 

2. ความคิดถึงสิ่งที่เคยชอบมักจะโผล่มาแม้จะตีทะเบียนแล้วก็ยังมาบ่อย จะทำอย่างไร

3. บางครั้งเป็นความติดใจในคอนเซ็พท์เช่นความยุติธรรม ที่อาจารย์เรียกว่าบ้าดี สลัดไม่หลุด ทำอย่างไร

4. อาจารย์ช่วยเล่าประสบการณ์สู่ความหลุดพ้นส่วนตัวของอาจารย์ให้ฟังหน่อยนะคะ

5. ใจจริงอยากไปปลีกวิเวก บวช แต่ยังทิ้งภาระกิจทางโลกไปไม่ได้ ควรใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะอยู่ในวิถีหลุดพ้น

ขอบพระคุณอาจารย์ อยากมาหา มาคุยด้วย แต่อยู่ไกล

……………………………………………

ตอบครับ

     ผมตอบจดหมายฉบับนี้ให้มีเนื้อหาที่ลึกกว่าธรรมดาเพราะเห็นว่าคุณมาได้ไกลกว่าธรรมดาแล้ว แต่ก็ขอให้คุณอ่านช้าๆหลายๆรอบนะ

     1. ถามว่านี่คือความรู้ตัวของจริงหรือไม่ ตอบว่า สำหรับคุณนะ ผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ชีวิตนี้แค่รู้ว่าคุณที่แท้จริงไม่ได้เป็นอะไรก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้หรอกว่าคุณที่แท้จริงเป็นอะไร เพราะธรรมชาติของความรู้มันครอบคลุมได้แค่การบรรยายถึงสิ่งที่คุณเคยรู้จัก คุณจึงไม่อาจบรรยายถึงความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้จักได้ ดังนั้นอย่าไปรู้มันเลย แค่รู้ว่าคุณไม่ใช่นี่ คุณไม่ใช่นั่น ก็พอแล้ว ผมหมายถึงว่าแค่รู้ว่าคุณไม่ใช่ร่างกายนี้ คุณไม่ใช่ชุดของความคิดที่ประกอบกันขึ้นเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้ เมื่อมันไม่ใช่ก็วางมันลงไปซะ แค่นี้พอแล้ว อย่าไปพยายามสรุปอะไรที่มากไปกว่านี้ซึ่งคุณยังไม่เคยรู้จักเลย 

     การรู้ว่าเราหรือชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่สำนึกว่าเป็นบุคคลคนนี้ นี่เป็นประเด็นสำคัญนะ เพราะปัญหาเกือบทั้งหมดในชีวิตทุกวันนี้มันเกิดสืบเนื่องมาจากร่างกายนี้และความเป็นบุคคลคนนี้ อาหาร เสื้อผ้า บ้าน ครอบครัว เพื่อน ชื่อเสียง ความมั่นคง การอยู่รอด ถ้าชีวิตไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่บุคคลคนนี้ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ไม่มีความสำคัญอะไรต่อชีวิตเลย ดังนั้นอย่าเผลอไปถูกครอบด้วยสิ่งไร้สาระอื่นๆที่ไม่ใช่คุณ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ความรู้สึก ความคิด สำนึกว่าเป็นใครหรือเป็นเจ้าของอะไร เพราะสิ่งเหล่านั้นจะพาคุณไปหลงเป็นสิ่งที่คุณไม่ได้เป็นอย่างแท้จริง ให้คุณปล่อยความคิดยึดติดในสิ่งที่ไม่ใช่ของจริงไปเสีย พอคุณทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่คุณไปได้แล้ว เดี๋ยวคุณก็จะได้สัมผัสหรือตระหนักรู้เองว่าคุณตัวจริงที่ฉายแสงออกมาเองจากส่วนลึกนั้นมันเป็นอย่างไร เมื่อได้สัมผัส จึงจะได้เรียนรู้ จึงจะเกิดความรู้ ไม่ต้องรีบไปพยายามนิยามหรือตั้งคำถามว่านี่ใช่หรือไม่ใช่เอาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้สัมผัสเรียนรู้

     2. ถามว่ากังวลว่าจะหลงทาง ต้องทำอย่างไร ตอบว่าในการตรวจสอบว่าหลงทางหรือไม่ คุณใช้ดัชนีวัดสองตัวเท่านั้น คือ 

      (1) ถ้าความคิดของคุณน้อยลง หรือความคิดของคุณหมดไป คุณมาถูกทางแน่ ชัวร์ป้าด..ด หากใช้เกณฑ์วินิจฉัยข้อนี้ข้อเดียวคุณก็ตอบได้แล้วว่าคุณกำลังไปผิดทาง เพราะความสงสัยเป็นความคิดตัวเบ้ง คุณไปติดอยู่ในความคิด คุณไปผิดทางแล้ว

      (2) ถ้าความเบิกบานของคุณมากขึ้น คุณมาถูกทางแน่ เพราะความเบิกบานหรือสงบเย็นเกิดได้ในภาวะไม่มีความคิดเท่านั้น 

     3. ถามว่าความคิดถึงสิ่งที่ชอบยังโผล่มาบ่อย แม้จะตีทะเบียนไว้แล้ว ทำไงดี ตอบว่า การจะพ้นทุกข์ผมไม่ได้บอกว่าคุณจะต้องหมดเกลี้ยงจากความคิดหรือความอยากอย่างสิ้นเชิงนะ เปล่าเลย ขอแค่เมื่อใดที่มีความคิดหรือมีความอยากเกิดขึ้นมาแล้วคุณหมดความกระตือรือล้นที่จะสนองความอยากนั้นก็พอแล้ว ความคิดเกิดขึ้นมานั้นโอเค. แต่อย่าไปเต้นแทงโก้ไปกับมัน การที่ใจคุณจะชอบสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบ นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะชีวิตเหมือนกระแสน้ำที่ไหลผ่านฝั่งทั้งสองไปไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ การยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่หลงไหลอะไร ไม่กลัวอะไร นั่นคือการดำเนินชีวิต แต่หากใจคุณไปยึดติดอยู่กับสิ่งที่ชอบไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตไหลไป นั่นแหละเป็นปัญหา เพราะคุณเผลอลืมไปว่าสิ่งที่ไม่ใช่คุณเป็นคุณ

     อีกประเด็นหนึ่ง คุณเห็นว่าความคิดเจ้าเก่าที่ชอบโผล่มานั้นมันมีความต่อเนื่อง แต่ผมจะบอกคุณว่าความต่อเนื่องไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงนะ แต่ละครั้งของการคิด มีผู้สังเกตประสบการณ์ มีสิ่งที่ถูกสังเกต แล้วดับหายไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็คือปรากฎการณ์ที่เราเรียกว่าปัจจุบัน แต่ “ความจำ (memory)” เป็นผู้สร้างภาพหลอนของความต่อเนื่องขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแต่ละประสบการณ์มันจบของมันไปแล้ว ฉันใดก็ฉันเพล คอนเซ็พท์ที่ว่าเหตุหนึ่งนำไปสู่ผลหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะความหลอนเรื่องเวลา ในความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากการประชุมแห่งสารพัดเหตุ ในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอกหากทั้งจักรวาลไม่สมยอมทำให้มันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นแม่ของคุณคลอดคุณออกมาไม่ใช่เป็นเพราะเธอหรือสูติแพทย์นะ เธอจะเบ่งคุณออกมาได้ไหมละถ้าไม่มีโลกไม่มีดวงอาทิตย์ สิ่งที่สมยอมหรือสาระพัดเหตุที่มาประจวบกันให้เกิดเรื่องต่างๆขึ้นได้นั้นเป็นความเป็นไปได้ที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีขอบเขตจำกัด ทีละเดี๋ยวนี้ ทีละเดี๋ยวนี้

     4. ถามว่าเป็นคนติดในคอนเซ็พท์เรื่องความยุติธรรม หรือเป็นคนบ้าดี จะทำอย่างไร ตอบว่าเป็นธรรมดาที่คนเราย่อมมองเห็นโลกนี้ผ่านตาข่ายของความคิดและคอนเซ็พท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอยาก อยากได้ อยากหนี และคอนเซ็พท์เช่น ชั่ว ดี ยุติธรรม อยุติธรรม การจะเห็นโลกตามที่มันเป็น คุณต้องมองทะลุตาข่ายของความคิดและคอนเซ็พท์ออกไป ซึ่งมันไม่ยากดอก เพราะตาข่ายมันมีช่องให้มองทะลุได้อยู่แล้ว ผมหมายถึงว่าทุกคอนเซ็พท์ที่เรายึดถือล้วนมีโพรงหรือจุดอ่อนไร้สาระที่เราเห็นได้ไม่ยาก อย่างเช่นเรามีกฎหมายที่จะเอาคนทำชั่วไปเข้าคุก แต่ในคุกกลับมีแต่คนจนที่ไม่มีเงินหลบเลี่ยงกฎหมาย เป็นต้น คือการเห็นความไร้สาระและขัดแย้งกันเองของคอนเซ็พท์จะช่วยให้คุณทำลายคอนเซ็พท์เหล่านั้นเสียเอง ขอเพียงแค่หัดมองให้ทะลุตาข่าย

     5. เรื่องประสบการณ์หรือวิธีไปสู่ความหลุดพ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ถ่ายทอดผ่านภาษาออกมาแล้วจะเก็ทกันได้เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องเข้าถึงเอง แต่หากจะบังคับให้ผมสรุปเป็นภาษาอย่างสั้นๆก็ได้ เส้นทางก็คือเราต้องถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้ก่อน คือวางความคิดไปก่อน เอาความสนใจมาอยู่กับลมหายใจหรืออยู่กับพลังชีวิตในรูปของความรู้สึกบนผิวกายก็ได้ จนความคิดไม่มีช่องให้เจาะเข้ามาได้แล้ว คราวนี้ก็จดจ่อความสนใจอยู่กับอะไรสักอย่าง แน่นอนมันก็เริ่มด้วยการมีผู้สังเกตและมีสิ่งที่ถูกสังเกต แล้วต่อไปทั้งสองอย่างนี้มันจะค่อยๆรวมกันเป็นอันเดียวกัน คือเมื่อดิ่งลงลึกถึงระดับหนึ่งทั้งสิ่งที่ถูกสังเกตกับผู้สังเกตจะเหลืออยู่อย่างเดียวคือเป็นแค่ความตื่นและรู้ตัวอยู่ แล้ว ณ จุดนี้มันก็จะมีพลังงานเกิดขึ้นมาเองโดยเราไม่ต้องไปแทรกแซงไปพยายามทำอะไรเลย พลังงานนี้มันจะชี้นำทางไปแบบเป็นอัตโนมัติ เราไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไรเลย มันชี้ทางส่องสว่างให้เสร็จว่าควรจะไปอย่างไร ความจริงแล้วมันเป็นธรรมชาติของจักรวาลนี้ว่าทุกอย่างมันเป็นอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปพยายามทำอะไร มันเหมือนคุณกินอาหารพอเคี้ยวกลืนลงไปแล้วก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันอีก การย่อยอาหารที่เหลือมันเป็นอัตโนมัติ จักรวาลนี้ทำงานของมันเองเป็นอัตโนมัติ คุณไม่จำเป็นต้องคิดอ่านอะไรมากมายดอก ความคิดของเรามีแต่จะไปปรุงแต่งให้มันยุ่งขึ้น

     6. ถามว่าควรใช้ชีวิตอยู่ในทางโลกอย่างไรเพื่อให้หลุดพ้น ตอบว่าผมแนะนำได้สามวิธีนะ คือ 

     วิธีที่ 1. เริ่มลงมือทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนให้แก่ตัวเอง เป็นการทำอะไรให้แก่โลก ให้แก่ชีวิตอื่น ตั้งใจง่วนอยู่กับการกระทำนั้นโดยไม่พะวงถึงผลลัพท์

     วิธีที่ 2. วางความคิดไปให้หมด รวมทั้งความคิดอยากได้ (desire) อยากหนี (fear) ใดๆด้วย หมดความคิดสองอย่างนี้ คุณหลุดพ้นแน่นอน

     วิธีที่ 3. ไม่สนใจว่าในใจจะมีความคิดอะไรขึ้นมาหรือไม่ ไม่ขับไล่ แต่ไม่สนใจ แค่สนใจว่า “ฉันรู้ตัวอยู่”

      ทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่างนี้ไป เมื่อความคิดยึดถือเกี่ยวพันที่มุ่งปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้จางลง สิ่งใหม่ๆในชีวิตก็จะค่อยๆเกิดขึ้น แต่ก็อย่าเผลอไปยึดนะ เพราะสิ่งที่จริงแท้มีอยู่อย่างเดียว คือ “ฉันรู้ตัวอยู่”ทั้งสามวิธีนี้จะพาไปสู่ปลายทางเดียวกันคือใจที่สงบเย็นลง แล้วสิ่งต่างๆก็จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติของมันเองโดยคุณไม่ต้องแทรกแซงอะไร ใช้ชีวิตไปตามอะไรที่เข้ามาหา ตื่น ระวังระไว ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นของมันอย่างเป็นธรรมชาติ โศกเศร้า ร่าเริง ตามแต่ชีวิตจะนำเข้ามา โดยระลึกเสมอว่าความสุขแท้จริงมีอยู่แต่ในความรู้ตัวเท่านั้น ยืนห่างออกมานิดหนึ่ง เฝ้าดูชีวิตดำเนินไป นี่แหละ คือการปฏิบัติตนสู่ความหลุดพ้นขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลก

     7. ที่ว่าอยากมาหามาคุยนั้นไม่ต้องเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุย การพูด มันเป็นสิ่งที่สวนทางกับการหลุดพ้น ในการเดินบนเส้นทางนี้ คุณควรพยายามอย่าพูดอะไร เพราะคำพูดเป็นการสนองความคิด ความคิดก็คือความอยาก การที่เราพูดมาก หรือการที่เราขี้บ่น แปลว่าความคิดหรือความอยากนั้นมันยังมีแรงอยู่มาก  การที่คุณไม่อยากพูด เป็นสัญญาณว่าคุณเริ่มหมดความกระตือรือล้นที่จะสนองความอยากแล้ว ดังนั้น เมื่อมีเรื่องที่จำเป็นต้องพูดอะไรกับใครคุณหัดหั่นคำพูดให้น้อยลงให้เหลือครึ่งเดียวแต่ให้ได้ใจความเท่าเดิม แล้วอะไรที่ไม่จำเป็นต้องพูด ก็ไม่ต้องพูด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์