ปรึกษาหมอ

(เรื่องไร้สาระ – 9) ฉุกเฉินแบบบ้านนอก

     หลายวันก่อนผมเดินในช็อปปิ้งมอลล์ในกรุงเทพ มีหญิงชราท่านหนึ่งเข้ามาหามาทักว่า

     “นี่คือคุณหมอสันต์ใช่ไหม”
      เมื่อผมพยักหน้าเธอก็แนะนำตัวเธอว่าเป็นใครทำให้ผมถึงบางอ้อทันที เธอเป็นเจ้าของคลินิกที่เมืองสระบุรีซึ่งในอดีตผมเคยไปเป็นลูกจ้างของเธออยู่พักหนึ่ง เธอพร่ำถึงอดีตแล้วพูดว่าเธอจำได้แม่นที่ผมเอาเครื่องมือช่างไม้มาตัดแหวนให้คนไข้กลางดึก วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

     เรื่องมีอยู่ว่าย้อนหลังไปประมาณพ.ศ. 2528 ผมไปเป็นหมอผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลสระบุรี เพิ่งจบบอร์ดเฉพาะทางมาใหม่ๆ ผมจบมาทางศัลยกรรม จริงๆแล้วจบมาทางศัลยกรรมทรวงอกแต่ได้รับมอบหมายให้ผ่าตัดทุกอวัยวะจากศีรษะถึงปลายเท้า ส่วนหมอสมวงศ์จบทางกุมารเวช สองคนกินเงินเดือนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนละ 5,000 บาท หมอสมวงศ์กำลังตั้งท้องหมอพออยู่ ทุกวันตอนเย็นเลิกงานผมจึงไปรับจ้างนั่งชั่วโมงที่คลินิกเอกชนในตลาดเพื่อหารายได้เสริม จะเปิดคลินิกของตัวเองก็กลัวไม่ทันถอนทุน เพราะตอนนั้นได้งานที่เมืองนอกแล้ว อีกปีเดียวก็จะต้องย้ายถิ่นฐานอีก

      การรับจ้างนั่งชั่วโมงที่คลินิกบ้านนอกช่างเหงาซะ วันๆมีคนไข้น้อยมากเพราะคลินิกโนเนม หมอก็โนเนม โอกาสจะได้เห็นคนไข้แปลกๆท้าทายแทบไม่มี แต่วันหนึ่งก็มีคนไข้หญิงสาวมาหาด้วยเรื่องว่าเธอเอาแหวนใหม่มาใส่แล้วแหวนนั้นรัดนิ้วจนบวมเป่ง ทำอย่างไรก็ถอดแหวนไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้น้ำสบู่ก็แล้ว ยิ่งถอดยิ่งติดจนนิ้วบวม เธอจึงไปโรงพยาบาล หมอที่ห้องฉุกเฉินบอกว่านิ้วบวมมากต้องตัดแหวน แต่เครื่องมือแพทย์ไม่สามารถตัดแหวนแบบนี้ได้ จึงแนะนำให้เธอไปอู่ซ่อมรถซึ่งน่าจะมีเครื่องมือตัดเหล็ก เธอก็ไปอยู่ซ่อมรถ ช่างที่อู่รถดูแล้วก็ไม่กล้าตัดเพราะกลัวเครื่องไปตัดเอานิ้วของเธอขาด เธอตระเวณไปหลายอู่ก็ได้คำตอบเดียวกัน จนเวลาผ่านไปเกือบสามทุ่ม คลินิกที่ผมไปรับจ้างนั้นเป็นคลินิกที่ปิดช้าที่สุดในเมือง คือปิดสามทุ่ม เธอเห็นไฟเปิดอยู่จึงแวะมาที่คลินิกนี้

     ผมฟังเรื่องราวและดูนิ้วของเธอที่บวมเป็นสีม่วงคล้ำและตัวแหวนนั้นจมลึกอยู่ในผิวหนังซึ่งตอนนี้บวมเป่งขึ้นมาบังตัวแหวนจนมองเกือบไม่เห็นแหวน มองดูก็รู้ได้ทันทีว่านิ้วกำลังขาดเลือด ทิ้งไปอีกไม่กี่ชั่วโมงก็อาจจะต้องเกิดเนื้อตายและต้องตัดนิ้วทิ้ง การรักษาคือต้องรีบตัดแหวน และการตัดแหวนอย่างไรเลือดก็ต้องกระฉูดแน่เพราะแหวนจมลึกลงไปใต้ผิวหนัง จึงหยิบจดหมายมาเขียนจะส่งตัวเธอไปที่โรงพยาบาล พอรู้ว่าผมจะส่งเธอไปโรงพยาบาลเธอก็ร้องไห้โฮสะอื้นฮักๆๆ และว่าเธอไปมาแล้ว หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าต้องใช้เครื่องมือของอู่รถ แล้วก็เล่าเรื่องที่เธอตระเวณไปทั่วเมืองเพื่อหาอู่ให้ตัดแหวนให้แต่ก็ไม่มีใครกล้าตัด

     ผมจึงบอกว่านี่มันเป็นเวลาที่คลินิกปิดแล้ว คุณรอได้ไหมละ ผมจะกลับไปบ้าน เอาเครื่องมือของผมมาลองตัดให้ เธอพยักหน้า ผมจึงขับรถกลับไปที่บ้านพักแพทย์ เพื่อไปหยิบเลื่อยฉลุแบบจิ๊กลิซอว์ไฟฟ้าซึ่งผมซื้อมาทำงานเฟอร์นิเจอร์เล็กๆน้อยๆเล่นยามว่าง เลื่อยนี้เมื่อเปิดสวิสต์มันจะขยับขึ้นลงไปมาด้วยความเร็วตามต้องการและสามารถใช้ทั้งฉลุไม้และตัดเหล็กที่ขนาดเล็กๆได้

แล้วผมก็ลงมือตัดแหวนโดยไม่ได้ฉีดยาชาเพราะกลัวนิ้วจะยิ่งขาดเลือดมากขึ้นไปอีก แต่คนไข้ไม่รู้สึกปวดเพราะนิ้วเธอขาดเลือดอยู่นานจนชาไปหมดแล้ว เมื่อใช้เลื่อยตัดเหล็กตัดฝ่าเนื้อเข้าไปหาตัวแหวนเลือดก็กระฉุดตามคาด แต่ในที่สุดผมก็ตัดแหวนออกได้สำเร็จ เด็กสาวดีใจยิ้มทั้งน้ำตาและพร่ำพูดกับแม่เธอว่า

     “หนูไม่ต้องโดนตัดนิ้วแล้ว”
     โดยที่คุณยายเจ้าของร้านท่านนี้ก็ลุ้นอยู่ข้างๆตั้งแต่ต้นจนจบ

     ที่เล่าให้ฟังนี่ไม่มีประเด็นอะไรหรอก แค่คิดขึ้นได้จึงเล่าให้ฟัง แต่ไหนไหนก็เล่าแล้วก็ขอคุยทับนิดหนึ่งนะ ว่าพระราชบิดาซึ่งถือว่าเป็นบิดาของวงการแพทย์ไทย ได้ทรงสอนไว้ว่า

     “ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแค่หมออย่างเดียว แต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย”
    ถามว่า เออ.. แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ละ 
    ตอบว่า เกี่ยวสิ เพราะถ้าวันนั้นหมอสันต์เป็นแค่หมออย่างเดียวโดยไม่ได้เป็นช่างไม้ด้วย นิ้วมือของเด็กสาวคนนั้นจะรอดเรอะ..หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์