จิตวิญญาณ (Spirituality)

ร่างกายนี้สร้างขึ้นมาด้วยข้อมูลจากข้างใน

     (หมอสันต์พูดแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนผู้แสวงหาด้วยกัน เห็นว่าอาจมีประโยชน์ จึงเอามาเขียนไว้ให้ท่านผู้สนใจได้อ่าน)

วิธีที่จะรู้จักชีวิต
     “การจะรู้จักชีวิต ไม่ใช่ด้วยการผ่าศพดูร่างกายให้ละเอียดไปทีละอวัยวะ หรือด้วยการคิดคาดเอาตามตรรกะและเหตุผล เพราะร่างกายก็มีแต่เซลที่ผลัดกันเกิดผลัดกันตายตลอดเวลา ความคิดก็เป็นเพียงการรีไซเคิลข้อมูลเก่าที่เราเคยรับเข้ามา มันจะพารู้จักชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนได้อย่างไร วิธีคิดอย่างตรรกะเป็นเหตุเป็นผลหรือวิธีที่เรียกกันว่าวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่วิธีที่จะพาคุณไปรู้จักชีวิตให้ได้มากกว่านี้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นเพียงรูปแบบของการคิดหรือเป็นเพียงระบบความเชื่ออย่างหนึ่งแค่นั้นเอง การจะรู้จักชีวิตให้มากกว่าที่เรารู้จักอยู่ตอนนี้มีวิธีเดียว คือคุณต้องทำให้การรับรู้หรือ perception ของคุณแหลมคมขึ้น ถ้าคุณทำให้มันแหลมคมขึ้นและเปิดมันรับข้อมูลเต็มๆ คุณก็จะรู้หรือจะดาวน์โหลดข้อมูลความจริงทั้งหมดได้ตูมเดียว ซึ่งในทางปฏิบัติความแหลมคมนี้สร้างขึ้นได้จากการใช้เครื่องมือต่างๆมาช่วยทิ้งความคิดไปให้หมดก่อน จนความสนใจไปอยู่ในความรู้ตัวที่ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป จนพ้นไปจากสิ่งที่อายนตนะทั้งห้าเคยรับรู้และที่ภาษาเคยอธิบายได้ ลึกระดับนั้นแหละ ความแหลมคมในการรับรู้จะคมมากพอจนพาคุณหลุดพ้นได้” 
ความหลุดพ้นคืออะไร
     “ความหลุดพ้นก็คือ เมื่อคุณนั่งอยู่ตรงนี้ ร่างกายของคุณอยู่ที่นี่ ใจของคุณอยู่ที่นั่น แต่คุณจริงๆอยู่อีกที่หนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากร่างกายและใจหรือความคิดของคุณไว้ระยะหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นที่ร่างกายและที่ใจไม่ระคายเคืองคุณ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นก็คือความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวตน (change of identity) 
     พูดอีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นคือการตระหนักรู้ธรรมชาติของร่างกายและใจ ตระหนักรู้หมายความว่ากายและใจนี้มันเป็นของมันอย่างนี้มาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่เราโง่มาตลอด เราไม่เคยรู้จักมัน แล้วอยู่ๆเราก็รู้จักมันจริงๆขึ้นมา แค่นั้นเอง
  
     พูดอีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นก็คือการที่ประสบการณ์ชีวิตเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็เป็นอิสระต่อกันอยู่แล้วแต่เราไม่เคยรู้ เพราะประสบการณ์เกิดจากการสนองตอบต่อสิ่งเร้า เดิมเราสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปอย่างอัตโนมัติตามความเคยชินเราจึงนึกว่าสิ่งเร้าภายนอกเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา แต่เมื่อเรารู้จักสนองตอบต่อสิ่งเร้าแบบเอาความสนใจจดจ่อและเลือกสนองตอบต่อแต่ละสิ่งเร้าอย่างพินิจบรรจง เราจึงได้รู้ว่าการสนองตอบต่อสิ่งเร้านี้เป็นอิสระต่อสิ่งเร้า
ประโยชน์ของความหลุดพ้น
     ประโยชน์ของความหลุดพ้นมีอย่างน้อยก็สามข้อ ข้อหนึ่ง คือทำให้พ้นจากทุกข์ ข้อสอง คือทำให้ได้รู้สิ่งที่อยากรู้แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ข้อสาม คือเพิ่มศักยภาพที่จะใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ได้มากขึ้น”
 
     “ดังนั้นคนที่โหยหาความหลุดพ้นจึงมีสามจำพวก พวกที่หนึ่ง คือพวกที่กำลังมีความทุกข์แล้วอยากพ้นทุกข์ พวกที่สอง คือพวกที่อยากรู้ พวกที่สาม คือพวกที่อยากจะเพิ่มศักยภาพในการสร้างสรรค์เพื่อโลกและเพื่อชีวิตอื่นๆให้เต็มศักยภาพที่ตนมี”
 
ทุกคนหลุดพ้นได้ถ้าอยากหลุดพ้น

     การเกิดมาเป็นคนซึ่งมีระบบประสาทกลางพัฒนามามากมายผิดสัตว์ชนิดอื่นนี้ มันเปิดโอกาสให้คนทุกคนหลุดพ้นจากกรงของความคิดที่จองจำตัวเองอยู่ได้ หากเขาหรือเธออยากหลุดพ้น คนรุ่นก่อนเป็นผู้ชี้ให้เห็นทางเส้นนี้ คนรุ่นเราแค่ตัดสินใจเลือกว่าจะทดลองเดินไป หรือจะเลือกมีชีวิตอยู่แบบสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่งกิน นอน ขับถ่าย สืบพันธ์ แล้วตายไป ตรงนี้เป็นทางเลือกที่แต่ละคนเลือกเอง
ร่างกายและใจนี้คือข้อจำกัด

     “มองย้อนกลับไปดูประสบการณ์เก่าๆในชีวิตสิ สิ่งที่จำกัดคุณไว้ก็คือร่างกายและใจนี้แหละ แต่ขณะเดียวกัน คุณก็เรียนรู้ทุกประสบการณ์ผ่านร่างกายและใจนี้ ทั้งคู่นี้ ผมหมายถึงร่างกายกับใจ ต่างก็เป็นทั้งเครื่องมือที่ทำให้คุณยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ได้ และขณะเดียวกันก็เป็นข้อจำกัดไม่ให้คุณรู้อะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าประสบการณ์เก่าๆของคุณ”
     “ความทุกข์ทุกชนิดที่เกิดกับคุณ ล้วนผ่านมาทางร่างกายนี้หรือใจนี้ทั้งสิ้น มีความทุกข์ที่ผ่านมาทางอื่นโดยไม่ผ่านกายและใจนี้ไหม ไม่มี้ โรงงานอุตสาหกรรมผลิตความทุกข์ทุกชนิดอยู่ในใจนี้หมด แม้สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ทางกายแท้จริงแล้วก็เป็นประสบการณ์ที่ใจ ทั้งชีวิตคุณหมดไปกับความพยายามเสาะหาความปลอดภัยและมั่นคงเพราะคุณกลัวทุกข์ที่ผ่านมาทางใจนี้ คุณไม่กล้าใช้ชีวิตเต็มที่เพราะคุณกลัวเป็นทุกข์กลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคงไม่ปลอดภัย แต่คุณรู้ไหมการเสาะหาความมั่นคงปลอดภัยก็คือการเสาะหาความตายนั่นเอง ความตายเป็นความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่มีเสียหรอกที่จะมั่นคงหรือปลอดภัย ชีวิตมีธรรมชาติพริ้วไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
อิสรภาพเกิดเมื่อฝ่าข้ามข้อจำกัดได้
     “เมื่อใดที่คุณได้มีโอกาสรับรู้ว่าคุณจริงๆนั้นเป็นอิสระจากกายและใจนี้ เป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งมวล เมื่อนั้นทุกข์ที่ผลิตขึ้นที่ในกายและใจนี้จะไม่มีผลระคายอะไรต่อคุณตัวจริงเลยแม้แต่น้อย แล้วคุณก็จะไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป ไม่กลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคงปลอดภัยอีกต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆลองนึกดูสิคุณจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร คุณจะยังใช้ชีวิตแบบกล้าๆกลัวๆ กลัวจะเหยียบพลาดแล้วเกิดทุกข์อย่างที่เคยเป็นมาตลอดอีกไหม หรือว่าคุณจะใช้ชีวิตต่อแต่นี้ไปอย่างอิสระเสรีปลอดจากความกลัว เบิกบาน เมตตา และสร้างสรรค์ มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาลสุดประมาณ คุณจะเล่นกับชีวิตอย่างไรก็ได้ โดยที่ชีวิตไม่อาจขีดข่วนคุณได้แม้แต่น้อย คุณโยนตัวคุณทั้งตัวเข้ามาในชีวิตได้เลย คุณเต็มที่กับชีวิตได้เลย
ความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดที่ข้างใน
     ร่างกายนี้ใจนี้มันมีข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยไกลโพ้นไปจากที่เราจะจินตนาการถึงมากมาย เพราะจินตนาการของเราถูกจำกัดด้วยการเรียนรู้ในอดีตซึ่งเป็นแค่การรับข้อมูลผ่านอายตนะ แต่อายตนะมันหยาบ ข้อมูลละเอียดลึกซึ้งจริงๆนั้นเรารับรู้ผ่านอายตนะไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นแค่ข้อมูลรายละเอียดภายในอะตอมซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเซลร่างกายนี่เราก็ไม่อาจรับรู้ได้แล้วเพราะขีดจำกัดของอายตนะไม่เอื้อให้เรารับรู้ได้ แล้วขึ้นชื่อว่าข้อมูลมันไม่ได้อยู่ที่เซลสมองเท่านั้นแต่มันอยู่ที่เซลร่างกายทุกเซล ทุกเซลมีดีเอ็นเอ. การทิ้งความคิดไปรับรู้ข้อมูลที่ข้างในอันมากมายลึกซึ้งเหล่านี้จะทำให้ตระหนักรู้กระบวนการสร้างและการดำเนินไปของชีวิตจากต้นจนจบ เพราะร่างกายนี้สร้างขึ้นมาจากข้อมูล (information) ที่อยู่ข้างใน ร่างกายประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ ส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์ใหญ่กว่าฮาร์ดแวร์มาก และฝังแฝงอยู่ในเซลทุกเซล ซอฟท์แวร์ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนโดยพลังงานชีวิต ซึ่งเป็นทั้งลมหายใจที่ช่วยต่ออายุร่างกายไปทีละขณะ ทีละขณะ เป็นทั้งพลังให้ความอบอุ่น เป็นทั้งความรู้สึกหรือ feeling ให้รับรู้ได้ เป็นทั้งพลังงานรักษาไม่ให้เซลเน่าเปื่อย และเป็นทั้งแรงพยุงร่างกายนี้ให้กึ่งๆลอยอยู่หรือตั้งอยู่ได้ ในแง่ของการเป็นเครื่องมือไปสู่ความหลุดพ้น พลังชีวิตเป็นตัวกลางช่วยดึงความสนใจออกมาจากความคิดเสมือนว่าเป็นสะพานเชื่อมโยงให้ความสนใจถอยกลับไปอยู่กับความรู้ตัวอันเป็นจุดตั้งต้นที่จะก่อให้เกิดความแหลมคมของการรับรู้ขึ้น ดังนั้นเมื่อคิดจะถอยความสนใจจากความคิดกลับเข้าข้างใน ให้คุณเริ่มที่พลังชีวิต

ควรเลิกคุยกันเสีย แล้วลงมือวางความคิด
     “คอนเซ็พท์ ไอเดีย ปรัชญา ความเชื่อ คำสอนต่างๆ ทั้งหมดนั้นชวนให้เราลืมชีวิตตามที่มันเป็น แต่ชวนให้เรามายึดกุมความคิดที่คนรุ่นก่อนหรือตัวเราเองเต้ากันขึ้นโดยไม่มีรากฐานอยู่บนชีวิตของเราเองที่แท้จริงเลย จริงอยู่คอนเซ็พท์หรือหลักการต่างๆช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ง่ายขึ้นและทำให้สังคมสงบได้ชั่วคราวตรบใดที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังยอมเชื่อตามคอนเซ็พท์นั้น แต่ในแง่ของการแสวงหาความหลุดพ้น คอนเซ็พท์ทั้งหมดนั้นอย่างเก่งก็เป็นแค่การชี้ทาง ไม่ใช่การเดินทาง เราไม่ควรย้ำคิดหรือไตร่ตรองอยู่กับเส้นทางที่คนรุ่นก่อนชี้ว่าไปถึงตรงไหนแล้วมันจะเป็นอย่างไร เพราะการคิดหรือไตร่ตรองเป็นความคิด ธรรมชาติของความคิดมีแต่บวกกับคูณ ไม่มีลบหรือหาร คือยิ่งคิดยิ่งเพ้อเจ้อ เราต้องลงมือวางความคิด ไม่ใช่คิดไตร่ตรอง” 
     “ลงมือวางความคิดผมหมายถึงว่าการเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น เห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นผมหมายถึงว่าเห็นทุกอย่างแบบการถ่ายรูปสะแน็ปช็อตโดยไม่ต้องมีคำบรรยายภาพ แล้วคำว่าเห็นนี้ไม่ใช่หมายถึงเห็นสิ่งภายนอกผ่านลูกกะตานะ เพราะเมื่อเรามองออกมาจากความรู้ตัวซึ่งเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของเรา สิ่งที่เราจะเห็นเป็นด่านแรกไม่ใช่ทิวทัศน์ข้างนอก แต่ก็คือใจของเราซึ่งดาระดาษไปด้วยความคิดสนองตอบอัตโนมัติต่อทิวทัศน์ภายนอก ความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจทีละช็อตทีละช็อตนั่นแหละที่เราจะต้องเห็นมันตามที่มันเป็น”
      “ผมเห็นว่ายิ่งอ่านหนังสือมาก ดูวิดิโอคลิปมาก คุยกันมาก ยิ่งมีประโยชน์น้อย เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าอุปสรรคใหญ่ที่ขวางทางความหลุดพ้นก็คือความคิด ดังนั้นสิ่งที่พึงทำไม่ใช่การอ่าน การดู การฟัง หรือการพูดคุย เพราะกิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่จะเพิ่มความคิด สิ่งที่พึงทำคือการลงมือวางความคิด ถอยความสนใจออกจากความคิดกลับไปอยู่กับความรู้ตัว โฟกัสอยู่ตรงนั้น ทำทุกเมื่อเชื่อวัน ทำอยู่บ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ แล้วในที่สุดก็จะหลุดพ้น ไม่ต้องไปคิดคาดการณ์หรือสงสัยว่าจากตรงนั้นแล้วชีวิตจะดำเนินต่อไปทางไหน ความสงสัยนั้นคุณคิดมันขึ้นมาเอง คุณต้องวางมันลงเอง ผมไม่มีหน้าที่เคลียร์ความสงสัยให้คุณ ผมบอกคุณได้แต่ว่าไม่ต้องไปสงสัยหรือคาดการณ์อะไร เพราะชีวิตที่เบิกบานและเป็นอิสระจากสิ่งเร้าภายนอกแล้ว มันจะมีทางไปที่ดีของมันเอง”
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์