Latest, จิตวิญญาณ (Spirituality)

ถ้าคุณไม่ยอมโอบรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณก็หมดโอกาสใช้ชีวิต

หนู … นะคะ ตั้งแต่กลับจาก spiritual retreat หนูยังไม่ทันได้ตั้งต้นฝึกวางความคิดตามที่คุณหมอสอนอย่างจริงจังเลย หนูยุ่งมากด้วยในช่วงนี้เพราะต้องไปทำ CT ว่ามะเร็งแพร่กระจายไปตับและปอดหรือเปล่า ทำไปที่รพ. … แล้วหมอบอกว่ายังไม่มี แต่หนูไม่แน่ใจ จึงไปทำ MRI ที่รพ. …. หมอนัดวันที่ …. วิทยานิพนธ์ป.เอกก็กำลังจะเสร็จ รอสอบ defense แล้วหนูต้องขึ้นไปรับยาที่คลินิกที่ (จังหวัด..) ทุกเดือนด้วย หนูส่งผลเลือดมาให้อาจารย์ดู ค่า CEA มันสูงขึ้น อยากปรึกษาอาจารย์ด้วยว่าควรจะไปส่องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปลำไส้ใหญ่ด้วยไหม และการตรวจตับเพื่อเฝ้าระวังการแพร่กระจายต้องตรวจบ่อยแค่ไหน

……………………………………………………….

ตอบครับ

ผมไม่ตอบคำถามที่คุณถามมานะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ใดๆกับคุณเลย แต่คำสำคัญที่ผมจะพูดกับคุณวันนี้ก็คือ

“ถ้าคุณไม่ยอมโอบรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณก็หมดโอกาสใช้ชีวิต”

ประเด็นที่หนึ่ง หมายความว่าอย่างไรที่หมอสันต์ว่าถ้าไม่ยอมรับความตายก็เท่ากับหมดโอกาสใช้ชีวิต ตอบว่าหมายความว่าการใช้ชีวิตเขาใช้กันที่เดี๋ยวนี้ หรือที่บางคนชอบพูดว่าที่ปัจจุบันก็ได้ เราไม่สามารถใช้ชีวิตในอดีตหรือในอนาคตได้ เพราะชีวิตคือการดำรงอยู่ มันดำรงอยู่เฉพาะเดี๋ยวนี้เท่านั้น คุณจะอยู่ที่เดี๋ยวนี้ได้ คุณจะต้องไม่ถูกใครพาคุณหนีไปจากเดี๋ยวนี้

แล้วใครละที่จะพาคุณหนีไปจากเดี๋ยวนี้ ตอบว่าก็ “ความกลัว” และ “ความหวัง” และ “ความเสียใจ” นั่นไง ที่จะพาคุณหนีไปจากเดี๋ยวนี้ ทั้งสามล้วนเป็นความคิด ความกลัวและความหวังจะพาคุณหนีไปอยู่ในอนาคตในใจคุณ ส่วนความเสียใจจะพาคุณหนีไปหลบอยู่ที่อดีตในใจคุณ ทั้งอนาคตและอดีตในใจคุณไม่มีอยู่จริงดอก ล้วนเป็นสิ่งที่สำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณชงมันขึ้นมาเองที่เดี๋ยวนี้ทั้งนั้น

แล้วทำไมหนูจึงชงอนาคตและอดีตขึ้น ตอบว่าก็เพราะคุณทนอยู่ที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้

อ้าว แล้วทำไม่หนูทนอยู่ที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ตอบว่าเพราะคุณยอมรับเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ตัวแม่ของสิ่งที่อยู่ที่เดี๋ยวนี้ที่คุณยอมรับไม่ได้ก็คือ “ความตาย” นั่นไง คนเราเมื่อเกิดมามีชีวิต ความตายก็เต้นแทงโก้คู่กับชีวิตมาเลยตั้งแต่วินาทีแรก ร่างกายนี้ถูกปลุกให้มีชีวิตด้วยพลังชีวิตที่เข้ามาสู่ร่างกายในขณะหายใจเข้า พลังชีวิตหนึ่งลูกที่เข้ามา จะหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ได้ชั่วขณะ ส่วนการหายใจออกนั้นเป็นกลไกเด้งกลับ (recoil) สู่ที่เดิมของร่างกายแบบอัตโนมัติ ปลายสุดของการหายใจออก ถ้าไม่มีการหายใจเข้าครั้งใหม่ คุณก็…เรียบร้อย คือเด๊ด สะมอเร่ ดังนั้นความเป็นจริงของชีวิตคือความตายอยู่กับเราทุกๆปลายของลมหายใจออกที่เดี๋ยวนี้นี่แหละ เหลือเพียงแต่ว่าลมหายใจออกไหนจะไม่ตามมาด้วยลมหายใจเข้าเท่านั้น ถ้าคุณโอบรับความจริงอันนี้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ ว่าคุณจะแตกดับเมื่อไหร่ก็ได้ วินาทีข้างหน้านี้ก็ได้ หากคุณยอมรับตรงนี้ได้ คุณก็อยู่กับปัจจุบันได้ คุณก็ใช้ชีวิตได้ แต่หากคุณยอมรับไม่ได้คุณก็หนี ผู้ที่จะพาคุณหนีก็คือความกลัวและความหวัง มันจะพาคุณหนีไปจดจ่ออยู่กับเรื่องไร้สาระที่คุณปั้นแต่งขึ้นโดยสมมุติว่าเป็นอนาคตของคุณ ยกตัวอย่างการทำงานของความกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัวตายก็เช่นมีอาการแปลกๆก็กลัวเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งแล้วก็กลัวแพร่กระจาย แพร่กระจายแล้วก็กลัวมะเร็งที่แพร่แล้วจะเติบโตพรวดพราด เพื่อสนองความกลัวนี้คุณสาละวนสาละพัด เช่นหมอคนที่หนึ่งว่ายังไม่เป็นมะเร็งก็ไปหาหมอคนที่สองจะเอาให้แน่ใจ เป็นมะเร็งแล้วหมอคนที่หนึ่งว่ายังไม่แพร่กระจายก็ไปหาหมอคนที่สองว่าไม่แพร่กระจายจริงหรือเปล่า แพร่กระจายแล้วหมอบอกว่ายังไม่เยอะก็ไปหาหมอคนถัดไปว่าไม่เยอะจริงหรือเปล่า เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตนะ เพราะการใช้ชีวิตคือการอยู่ที่เดี๋ยวนี้อย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ แต่คุณวิ่งเป็นบ้าเพื่ออนาคต อย่างนี้เรียกว่าคุณไม่สงบเย็น ไม่สร้างสรรค์ด้วย เพราะที่คุณห่วงกังวลนั้นคือสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณเองล้วนๆ ไม่มีใครอื่นจะได้ดิบได้ดีด้วยกับการวิ่งเป็นบ้าของคุณดอก รวมทั้งตัวคุณเองซึ่งเป็นความรู้ตัวที่นั่งดูนิ่งๆอยู่ข้างในด้วยเพราะสำนึกว่าเป็นบุคคลนั้นไม่ใช่ตัวคุณจริงๆดอก

ถ้าคุณโอบรับความตายว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของรอบการหายใจของคุณ มันอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้กับคุณด้วย มันมาเมื่อไหร่คุณก็ตายเมื่อนั้น โดยตรรกะแล้วเด็กนักเรียนมัธยมก็ยังรู้เลยว่ามันเป็นความจริงแท้แน่นอนไม่เป็นอื่น ไม่ต้องรอเรียนหนังสือจนจบป.โทป.เอกดอก ถ้าคุณยอมรับตรงนี้ โอบรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณทุกลมหายใจ คุณก็ไม่ต้องหนีจากเดี๋ยวนี้ไปไหน คุณก็จะเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เดี๋ยวนี้ได้เสียที

ประเด็นที่ 2. ผลพลอยได้ของการโอบรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของเดี๋ยวนี้ ก็คือคุณจะได้เรียงลำดับเรื่องที่คุณอยากจะทำในชีวิตของคุณให้ถูกต้องเสียใหม่ เพราะคุณรู้ว่าชีวิตนี้มีความเปราะบางจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นธรรมดาที่คุณย่อมต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าสำหรับตัวเอง อะไรที่คุณเกิดมาแล้วหากไม่ได้ทำจะเป็นการเสียชาติเกิด คุณจะรีบทำเสียที่ลมหายใจนี้ เพราะลมหายใจหน้าคุณอาจจะไม่อยู่แล้ว ผมไม่ได้หมายถึงการทำดี การทำถูกต้อง หรือการทำอะไรที่เป็นที่ยกย่องตามสมมุติของผู้คนส่วนใหญ่นะ ผมหมายถึงอะไรที่คุณเห็นว่ามันสำคัญสำหรับตัวคุณ ดีชั่วถูกผิดหรือสมมุติบัญญัติใดๆไม่ใช่ประเด็น ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้หญิงชาวอังกฤษ เธอบอกผมว่า

“ถ้าฉันอายุ 75 ฉันจะสูบกัญชา”

ผมหัวเราะและว่าถ้าคุณอยากจะสูบกัญชาจริงๆจะไปรอจนอายุ 75 ทำไม อะไรที่คุณอยากทำหรือสำคัญต่อคุณมากทำไมคุณไม่ทำเสียเดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณยังมีชีวิตอยู่ เพราะลมหายใจหน้าคุณอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้

ประเด็นที่ 3. เมื่อคุณเลิกกลัวตาย มันเปิดโอกาสให้คุณผูกมิตรหรือตีสนิทกับความตายได้เลยทันที ซึ่งตรงนั้นคุณจะได้เรียนรู้อะไรอีกมาก ในทางการแพทย์ การหลับลึกโดยไม่ฝันเป็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตสำนึกรับรู้ที่ใกล้เคียงกับความตายมากที่สุด ดังนั้นหากอยากตีสนิทกับความตาย คุณก็แค่ให้ความสนใจเวลาคุณเข้านอนและจะหลับหน่อยแค่นั้นเอง สนใจว่าก่อนจะหลับคุณอยู่ที่ไหน คุณรู้ตัวอยู่หรือเปล่า สนใจอย่าว่อกแว่กไปอยู่ในความคิด จนคุณเห็นว่าอาการที่คุณหลับไปเป็นอย่างไร แค่นี้คุณก็จะได้เรียนรู้อะไรที่ไม่เคยรู้อีกแยะมาก

กล่าวโดยสรุป ให้เลิกหนีไปไหนต่อไหนกับความกลัวตายเสีย เริ่มต้นใช้ชีวิตที่ปัจจุบัน ซึ่งมีความตายเต้นแทงโก้สลับข้างกับชีวิตทุกรอบของลมหายใจ แล้วคุณจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตเสียที หมายถึงการได้ดำรงอยู่อย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์