Latest, จิตวิญญาณ (Spirituality)

หมอสันต์พูดเรื่องจิตวิญญาณน้อยลง เพราะภาษาคือตรรกะ

อาจารย์สันต์ที่เคารพ

ตั้งแต่กลับจาก spiritual retreat ผมก็ยังติดตามบล็อกของอาจารย์เรื่อยมา แต่ผิดหวังที่ระยะหลังอาจารย์ไม่ตอบคำถามเรื่องจิตวิญญาณเลย ทำไมละครับ อีกอย่างผมมีคำถามหลายอย่างคาใจอยู่ (1)ความหลุดพันที่อาจารย์พูดถึงนั้น เมื่อหลุดพ้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร (2) ผมยังมีเมียมีลูกอยู่ ผมจะหลุดพ้นได้ไหม (3) ผมจะไปเข้า spiritual retreat ที่อเมริกาใต้ ซึ่งใช้ Ayahuasca ตามแนวทางปรัชญาของ Sharman เป็นตัวช่วยให้รู้จักความหลุดพ้นจะดีไหม (4) ที่อาจารย์ว่าฝันเป็นจริงขณะฝัน ตื่นเป็นจริงขณะตื่นหมายความว่าอย่างไร (5) เวลาหลับลึกโดยไม่ฝัน ยังมีความรู้ตัวอยู่ไหม (6) นั่งสมาธิอยู่ รู้ตัวอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่านี่คือความรู้ตัวของจริงหรือไม่ หรือว่านี่คือความคิด จะแยกแยะได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นเราของจริง

รบกวนอาจารย์ และขอให้อาจารย์กลับมาตอบคำถามทางจิตวิญญาณต่อนะครับ

…………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าทำไมหมอสันต์พูดเรื่องจิตวิญญาณน้อยลง ขณะที่แฟนบล็อกบางส่วนอยากให้พูดมากขึ้น ตอบว่าเพราะเรื่องทางจิตวิญญาณหรือความหลุดพ้นนี้ พอพูดไปๆก็ยิ่งปรากฎชัดว่ามันมาติดอยู่ที่กรอบของ “ภาษา” พูดอะไรออกมาปุ๊บ ก็หล่นตุ๊บลงไปอยู่ในกรอบหรือในกรงของคอนเซ็พท์หรือตรรกะปั๊บ เพราะเวลาพูดเราต้องพูดออกมาเป็นภาษาคน จะพูดออกมาเป็นเสียงฆ้องกลองระฆังหรือเสียงอ้อยอี๋เอียงเหมือนนกคงไม่ได้ แต่พอออกมาเป็นภาษาปุ๊บ ตัวภาษานั่นแหละคือตรรกะในตัวของมันเอง เราก็หล่นลงไปในกรอบของตรรกะปั๊บ แต่ความหลุดพ้นคือการต้องออกไปนอกกรอบของตรรกะนี้เสียก่อน สรุปว่าเราใช้ภาษาสื่อกันในเรื่องนี้แบบลึกๆไม่ได้ ผมเลยชักจะจนแต้ม แบ๊ะ..แบ๊ะ..แบ๊ะ กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะสื่อกันด้วยวิธีไหนดีโดยไม่ให้ติดกรอบของภาษา แต่ยังคิดไม่ออก

2.. ถามว่าความหลุดพ้นที่หมอสันต์ว่านั้น เมื่อหลุดพ้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร ตอบว่าเออ..ผมก็พืดไม่ถืกเหมือนกัน แต่ผมจะพยายามอธิบายนะ คุณเคยเห็นยามเช้าหน้าหนาวที่เต็มไปด้วยหมอกแล้วมีแสงแดดสีนวลส่องเฉียงๆมาไหม มันสวยงามมากนะ ทำไมมันจึงสวยงามน่ารื่นรมย์ ก็เพราะมันเป็นสภาพที่เรามองเห็นอะไรไม่ชัด มันจึงสวยและรื่นรมย์ ถ้าเรามองเห็นทุกจุดได้ชัดแจ๋วหมดเหมือนกลางวันแสกๆ มันก็หมดสวยหมดความรื่นรมย์ ฉันใดก็ฉันเพล ความหลุดพ้นก็คือการที่เรายอมรับอะไรที่อึมๆครึมๆโดยไม่ต้องวินิจฉัยแยกแยะ แม้ว่าความฉลาดปราดเปรื่องหรือความสามารถคิดวินิจฉัยเราก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี แต่เราเก็บมันไว้ในฝัก ไม่เอาออกมาใช้ จะเอาออกมานานๆครั้งเมื่อจำเป็น เราต้องจบตรงที่ยอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่แบบไม่มีรัก ไม่มีเกลียด เอาแค่สบายๆ เบิกบาน ไม่มีเจตนา ไม่มีความตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างไร นี่แหละคือความหลุดพ้นของจริง แต่ระวังนะ นึกว่าหลุดพ้นแล้วแต่หากเผลอชักมีดแห่งความคิดวินิจฉัยอันคมกริบออกมาใช้เที่ยวพิพากษาโน่นนี่นั่นโดยไม่จำเป็นละก็คุณจะเริ่มเกิดความรู้สึกว่า “กูแน่” อยู่คนเดียว นั่นคุณใกล้บ้าแล้วนะ คนอื่นเขาจะพูดว่าคุณฉลาดหรือคุณโง่ คุณบ้าหรือคุณดี ไม่สำคัญ แต่เมื่อคุณคิดว่าคุณฉลาด นั่นแปลว่าคุณโง่แล้ว หรือเมื่อคุณคิดว่าคุณดี นั่นคุณบ้าแล้ว อย่างนี้เขาไม่เรียก “หลุดพ้น” เขาเรียกว่า “หลุดโลก” มากกว่า หลุดพ้นของจริงก็คือคุณรู้วิธีเบิกบานกับการมีชีวิตอยู่ในแต่ละขณะ ไม่ถูกกักขังอยู่ในกรอบความคิด ดังนั้นในการจะหลุดพ้นคุณอย่าได้ใช้ความฉลาดของคุณเป็นอันขาด เพราะนั่นคือการกอดความย้ำคิด (compulsiveness) มันจะยิ่งดึงคุณให้จมอยู่ในกรอบไม่หลุดไปไหน

3.. ถามว่าคุณยังมีเมีย ยังมีเซ็กซ์อยู่คุณจะหลุดพ้นได้ไหม ก่อนตอบขอย้ำก่อนว่าหมอสันต์ไม่ได้ต่อต้านเรื่องเซ็กซ์นะแม้ผมจะอยู่ในวัยชราแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการไปทำให้เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งยิ่งทำให้คนในสังคมกลายเป็นคนย้ำคิดและยึดติดอยู่แต่กับเรื่องเซ็กซ์มากขึ้น เหมือนกับเมื่อมีใครมาสั่งว่าให้คุณคิดอะไรก็ได้แต่ห้ามคิดถึงลิง ในหัวคุณก็จะมีแต่ลิง การมีเซ็กซ์หรือไม่มีเซ็กซ์จึงไม่ใช่ประเด็นว่าจะหลุดพ้นได้หรือไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่การยึดติดหรือกอดความย้ำคิดไว้ก็ดี การยึดติดหรือกอดสัญชาติญาณของสัตว์ที่เราคุ้นเคยอย่างเช่นเรื่องเซ็กซ์นี้ไว้อย่างแน่นปึ๊กก็ดี นั่นคือการย้ำหรือ compulsiveness นะ นั่นเป็นกาวเหนียวหนึบที่ป้องกันตัวเราเองไม่ให้หลุดไปไหน

4.. ถามว่าจะไปทดลองเข้า spiritual retreat ที่อเมริกาใต้ ซึ่งใช้ Ayahuasca ตามแนวทางปรัชญาของ Sharman เป็นตัวช่วยให้รู้จักความหลุดพ้นจะดีไหม ตอบว่าพูดถึงปรัชญา ทุกคนล้วนมีปรัชญาของตัวเองทั้งนั้น คนติดเหล้าก็มีปรัชญาของขี้เมา ขโมยขโจรก็มีปรัชญาของโจร ขี้ยาก็มีปรัชญาของขี้ยา ดังนั้นคำว่าปรัชญานี้เป็นแค่เรื่องขี้ๆ อย่าเอามาพูดเป็นการชักใบให้เรือเสียดีกว่า

ถามว่าการใช้ ayahuasca ช่วย จะดีไหม ก่อนตอบผมขอเล่าเพิ่มเติมให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นนิดหนึ่งว่า ayahuasca เป็นสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางในกลุ่ม MAOI ที่เราใช้ทำยาต้านซึมเศร้านี่แหละ คนเราแสวงหาของดื่ม ของกิน ของสูบ หรือเซ็กซ์ เพราะเราอยากให้เกิดอะไรใหม่ๆขึ้นในชีวิตที่เมื่อวานนี้มันไม่เคยมี ไม่เคยเกิด เพราะเราอยากหลุดพ้นไปจากเดิมๆ แต่ของกินของดื่มหรือของเสพย์เหล่านั้นมันออกฤทธิ์ได้แค่ชั่วคราว คุณไปพ้นจากความคิดได้แค่ชั่วคราว พอหมดฤทธิ์สารออกฤทธิ์ ความคิดที่ครอบคุณก็กลับมาอีก แล้วคุณจะหลุดพ้นไปไหนจริงจังได้อย่างไร มีแต่จะทำให้คุณติดสารเสพย์ติดมากขึ้น ทางเดียวที่คุณจะหลุดพ้นไปได้ คุณต้องขยายขีดความสามารถในการรับรู้ (perception) ของคุณออกไปจากการรับรู้เดิมๆผ่านตาหูจมูกลิ้นสัมผัสและการคิดเอาอย่างที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้เสีย คือคุณต้องนั่งสมาธิให้ปลอดความคิดแล้วเปิดรับรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างที่ตรงนั้น แล้วผลที่จะได้ก็เหมือนการเสพย์สารเหล่านั้นแหละแต่ว่าถาวรกว่าและปลอดภัยกว่า อย่าลืมว่าบรรดาสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาททั้งหลายซึ่งตัวเด่นที่สุดก็ได้แก่กัญชา ฝิ่น โคเคน และเฮโรอีนนี้ เนื้อสมองมนุษย์มีตัวรับ (receptor) สารพวกนี้อยู่เต็มสมองไปหมดนะ ทำไมอย่างน้้นละ มีไว้เพื่ออะไร เพราะหลายๆส่วนของโลกเป็นเขตหนาวปลูกฝิ่นปลูกกัญชาไม่ได้ แต่โบราณก่อนที่จะมีการเดินไปมาหากันแลกเปลี่ยนค้าขายกันได้มนุษย์จำนวนหนึ่งไม่รู้จักกัญชาและฝิ่นเลย แต่ทำไมธรรมชาติสร้างตัวรับมันขึ้นมารอไว้ในสมองของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก แสดงว่าร่างกายมนุษย์สร้างสารกลุ่มนี้ขึ้นมาได้เองถ้ารู้วิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง และงานวิจัยการทำสมาธิบางงานก็พิสูจน์ได้ว่าคนทำสมาธิจะมีสารกลุ่มเอ็นดอร์ฟินเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด ดังนั้นผมไม่สนับสนุนการใช้วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่สนับสนุนให้ฝึกสมาธิวางความคิดแทน

5.. ถามว่าที่ผมบอกว่าความฝันเป็นจริงขณะฝัน ความตื่นเป็นจริงขณะตื่น หมายความว่าอย่างไร ตอบว่าเวลาไปต่างจังหวัดหรือไปเดินป่าเขา ให้คุณลองสังเกตแมงมุม มันชักใยดักเหยื่อแต่เช้ามืด พอสายๆมันก็เก็บใยกลับเข้าไปในตัวของมัน อุปมาอุปไมย ฉันใดก็ฉันเพล ความรู้ตัวของเรานี้ด้านหนึ่งมันเป็นความตื่นรู้อีกด้านหนึ่งมันเป็นความคิด ในตอนกลางคืนเมื่อคุณหลับฝัน ความรู้ตัวมันคลี่ความคิดซึ่งมีตุนไว้ในความจำอยู่แล้วออกมาเป็นความฝัน มีองค์ประกอบทุกอย่างครบถ้วนเหมือนตอนตื่น คือมีผู้สังเกต มีสิ่งที่ถูกสังเกต กลายเป็นเรื่องราวที่บันทึกจดจำได้ แล้วพอคุณตื่นมันก็เก็บฉากทั้งหมดเหล่านั้นกลับเข้าที่ อะเมซซิ่งแมะ หิ หิ นี่เป็นคำอธิบายฉบับหมอสันต์นะ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

6.. ถามว่าขณะหลับฝันกับขณะหลับลึกโดยไม่ฝันต่างกันอย่างไร มีความรู้ตัวอยู่หรือเปล่า ตอบว่าคำว่าความรู้ตัวที่ผมใช้นี้มันคนละความหมายกับคำว่า consciousness ที่ใช้กันในวิชาวิสัญญีวิทยานะ ของผมนี้มันหมายถึงองค์ประกอบชั้นที่ลึกที่สุดของชีวิตซึ่งมีอยู่ที่นั่นตลอดเวลาไม่มีเกิดไม่มีตายไม่มีหายไปไหนไม่ว่าหลับฝันหรือไม่ฝันหรือตื่นอยู่ อุปมาเหมือนห้องหนึ่งมีหน้าต่างกระจก มีแสงสว่างจากข้างนอกผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้มองเห็นข้างใน เมื่อนั่งอยู่ในห้อง การมองเห็นผ่านกระจกออกไปข้างนอกก็เปรียบเหมือนการรับรู้สิ่งเร้าภายนอกร่างกายผ่านอายตนะคือตาหูจมูกลิ้นผิวหนัง ขณะที่การมองเห็นเฟอร์นิเจอร์ภายในเปรียบเหมือนการรับรู้ความคิดของตัวเอง ภาวะตื่นกลางวันแสกๆก็คือเรากำลังนั่งมองฝ่าหน้าต่างกระจกออกไปนอกห้อง ภาวะหลับฝันก็คือเราปิดม่านหมดแต่เปิดไฟในห้อง เราก็มองเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องคือความคิดของเราเองซึ่งนั่นก็คือความฝัน ส่วนการนอนหลับลึกโดยไม่ฝันนั้น คุณตั้งใจฟังให้ดีนะ มันเข้าใจยาก เปรียบเหมือนคุณนั่งอยู่ในห้องที่ทาสีดำ ม่านดำ พื้นดำ เพดานดำ สมมุติว่าคุณนั่งหันหลังให้ประตูที่เปิดไว้ แล้วมีคนเอาตะเกียงมาตั้งที่นอกประตูเพื่อส่องแสงเข้ามาทั่วทั้งห้อง  แต่ตัวคุณหันหลังให้ตะเกียงคุณจึงไม่เห็นตะเกียง แต่คุณกำลังลืมตาดูห้องสีดำนั้น คุณจะไม่เห็นอะไรเลย ทั้งๆที่คุณตื่นอยู่ ลืมตาอยู่ แสงก็กำลังส่องเข้ามาอยู่ แต่มันไม่มีอะไรที่จะสะท้อนแสงมาเข้าตาคุณได้ คุณก็จึงไม่เห็นอะไร นี่เปรียบเหมือนสภาพที่คุณหลับลึก หรือเมื่ออยู่ในสมาธิระดับลึก ความรู้ตัวก็ยังอยู่ แต่ไม่มีอะไรให้รับรู้ จึงไม่มีประสบการณ์การรับรู้ใดๆ ไม่มีความจำจากประสบการณ์ใดๆให้ระลึกถึงได้ แม้เวลาผ่านไปช้าหรือเร็วก็ไม่รู้ เพราะเวลาในใจเกิดจากการเอาประสบการณ์ที่ได้รับมามาเรียงต่อๆกันจึงเกิดเวลาในใจขึ้น หากไม่มีประสบการณ์ เวลาในใจก็ไม่มี

7.. ถามว่านั่งสมาธิอยู่ รู้ตัวอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่านี่คือความรู้ตัวของจริงหรือไม่ หรือว่านี่คือความคิด จะแยกแยะได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นเราของจริง ตอบว่าความสงสัยเป็นความคิดนะ สำหรับคนขี้คิดขี้สงสัยอย่างคุณ ชีวิตนี้แค่รู้ว่าคุณที่แท้จริงไม่ได้เป็นอะไรก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้หรอกว่าคุณที่แท้จริงเป็นอะไร รู้แค่ว่าคุณไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่ความคิดนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกที่รับรู้ได้นี้ รู้แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องไปรู้ว่าคุณที่แท้จริงคืออะไรเป็นอะไร เพราะคุณไม่เคยมีประสบการณ์กับมันคุณจะรู้ได้อย่างไรว่านี่ใช่มันหรือเปล่า ผมเดาว่าคุณคงเป็นชาวพุทธใช่ไหม อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านก็สอนแค่นี้นะ สอนแค่ว่าทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ใช่คุณทั้งสิ้น จะได้ไม่ต้องไปคอยระแวงว่านี่ใช่คุณไหม นั่นใช่คุณหรือเปล่า เอาแค่ง่ายๆว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่คุณ จบข่าว แค่เนี้ยะ คุณก็หลุดพ้นได้แล้ว อย่าไปพยายามรู้มากกว่านี้เลย มันเป็นใบไม้นอกกำมือที่ไม่จำเป็น

8.. ถามว่าหมอสันต์ไม่ให้ความสำคัญกับความตายใช่ไหม ตอบว่าผมให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิต เพราะขณะนี้ผมมีชีวิตอยู่ผมก็ต้องสนใจการใช้ชีวิต ผมจะไปสนใจความตายทำไมละเพราะมันยังมาไม่ถึง ถ้ามันจะมาถึง มันจะมาถึงที่เดี๋ยวนี้ ถ้าผมปักหลักพร้อมอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ผมก็รับมือกับสิ่งที่มาถึง ณ เดี๋ยวนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไร รับมือไปทีละช็อต ทีละช็อต ในลักษณะยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาตามที่มันเป็น โดยไม่เอาความคิดไปใส่สีตีไข่ ตอนนี้ความตายยังไม่มา ผมยังหายใจอุ่นๆอยู่เลย สิ่งที่ผมพึงทำก็คือผมจะใช้ชีวิตที่ยังตัวเป็นๆอุ่นๆอยู่ในวันนี้อย่างไรให้มันสงบเย็นและสร้างสรรค์ ไม่ใช่ไปนั่งเทียนคิดถึงความตายในอนาคตซึ่งไม่มีอยู่จริง ย้ำอีกทีนะ ความตายในอนาคตไม่มีอยู่จริง ถ้าคนเราจะตายเราจะตายที่เดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้คุณยังไม่ตาย ความตายก็ไม่มี ถ้าคุณวางความคิดจินตนาการถึงสิ่งที่ยังไม่มีไปเสียให้เกลี้ยงได้ ความกลัวก็ไม่มีที่อยู่ คุณก็จะสงบเย็นและเบิกบาน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์