มะเร็ง

แม่ก็แก่ ตัวเองก็เป็นมะเร็ง เจ้านายก็เสนอให้สมัครใจลาออก

เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพนับถือ
ดิฉันมีปัญหาคิดไม่ตก ที่ผ่านมาชอบแนวคิดการใช้ชิวิตของคุณหมอ จึงขอรบกวนเรียนถามแนวทางการใช้ชิวิตต่อไปยังไงดี
1.สุขภาพ ดิฉันปัจจุบัน อายุ 47 ปี เป็นมะเร็งเต้านม ชนิดดุ Her-2 ไม่มียากิน รักษาโดยการ ผ่าตัด คีโม ฉายแสง ให้ยา herceptin ผ่านมา 3 ปี เข้าปีที่4
มีนัดหมอทุก 3-6 เดือน มีทั้งใช้สิทธิจ่ายเองและประกันสังคม ส่วนมากจะจ่ายเอง ปีที่แล้วผ่าตัดนมอีกข้างออก เอารังไข่ออก
2.สังคม เศรษฐกิจ ดิฉันมีแม่อายุ 75 อยู่ต่างจังหวัดคนเดียว ห่างจากดิฉันทีทำงานในเมือง 800 กิโลเมตร  เงินเดือนที่ได้ก็พอใจพอสมควร ใช้ผ่าตัดเต้านม รังไข่ ในรพ.เอกชนได้โดยจ่ายเอง มีเงินเก็บนิดหน่อย พร้อมหนี้บ้านหลักล้านต้นๆ ที่ผ่านมาเงินเก็บไม่เยอะ
ไวรัสมา ตอนนี้ทางบริษัทให้สมัครใจลาออกโดยจ่ายตามกม.แรงงาน ซึ่งก็ไม่มากเพราะอายุงานน้อย แต่อาจะพอจ่ายหนี้บ้านสักครึ่ง
อยากสอบถาม
แนวทาง แนวคิด เอายังไงดีคะ อยากลาออกไปอยู่กับแม่ที่บ้านนอก แต่ก็กลัวต้องรักษามะเร็งของเราชนิดที่ใช้เงินเยอะ ยาแพงมาก ไม่มีเงินจะทำยังไง ยาบางตัวไม่เข้าสิทธิอะไรเลย
อยู่บ้านนอกไม่มีอะไรทำ จะอยู่ได้ไหม เสียดายเงินเดือน การใช้ชิวิตที่ตื่นเช้ามาไม่มีอะไรทำ
ด้วยตัวโรค จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเท่าไหร่ยังไม่รู้ ไวรัสมาอีก ยิ่งไม่มีอะไรแน่นอน
ขอแสดงความนับถือ
ขอบพระคุณค่ะ

…………………………………………………….

ตอบครับ

     1. ถามว่าเป็นมะเร็งเต้านม ควรวางแผนการรักษาอย่างไร ตอบว่าควรวางแผนรักษาโดยใช้สิทธิ 30 บาทหรือประกันสังคมล้วนๆโดยไม่ต้องออกเงินตัวเองแม้แต่บาทเดียว ไม่ออกเงินของตัวเองแม้แต่บาทเดียว ย้ำ หมอบอกยานี้เบิกไมได้ก็บอกหมอไปว่าไม่ต้องเอาเพราะฉันจน..จบข่าว เพราะในความเป็นจริงยาจำเป็น (essential drug) ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกทุกตัวได้ถูกบรรจุเข้าเป็นยาที่เบิกได้ของสามสิบบาทประกันสังคมเรียบร้อยหมดแล้ว ที่ยังเบิกไม่ได้แต่โรงพยาบาลพยายามจะขายให้นั้นเป็นยาใหม่ที่หลักฐานความจำเป็นยังไม่มากพอ คุณไม่ต้องไปอยากใช้ยาพวกนั้นดอก ผมรับประกันว่าอัตราตายของคุณไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะออกเงินซื้อยาเองหรือไม่ นี่ผมว่าตามภาพใหญ่ของข้อมูลวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่มีอยู่นะ

     อนึ่ง การรักษามะเร็ง หลังการผ่าตัดและเคมีบำบัดแล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะวิธีชีวิตแบบเดิมทำให้เราเป็นมะเร็ง ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเป็นแบบใหม่ เปลี่ยนอาหารที่กินเนื้อสัตว์มากมากินแต่อาหารพืชเป็นหลัก เปลี่ยนจากการอยู่นิ่งๆไม่ออกกำลังกายมาเป็นขยันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวออกกำลังกาย เปลี่ยนจากเป็นคนที่จมอยู่ในความคิดลบมาหัดวางความคิดใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายอยู่ในความรู้ตัวที่เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้การผ่าตัดและเคมีบำบัด รายละเอียดเรื่องอาหารผมเคยเขียนไว้ ลองกลับไปอ่านดู (http://visitdrsant.blogspot.com/2018/01/blog-post_26.html)

     2. ถามว่าบริษัทเปิดให้ลาออกโดยจ่ายชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ควรจะใช้สิทธิไหม จะได้ไปดูแลคุณแม่ และเอาเงินชดเชยมาจ่ายค่าบ้าน ตอบว่า ผมประเมินตามจดหมายแล้ว คุณยังไม่มีศักยภาพที่จะดูแลคุณแม่ได้ ทั้งในแง่สุขภาพของตัวเอง ความมั่นคงทางการเงิน และการจัดการความเครียดเมื่อไม่มีงานทำ หากคุณออกจากงานไปอยู่กับแม่ตอนนี้ โรคของคุณจะแย่ลง เพราะคุณจะเครียดมากขึ้น

     3. ผมแนะนำให้คุณดำเนินการเป็นขั้นตอน ดังนี้

     3.1 ยังไม่ออกจากงาน ถ้าเจ้านายเชียร์ให้ออกก็ให้ความหวังเจ้านายว่าขอหนูเตรียมความพร้อมส่วนตัวสักพักนะคะ เดี๋ยวหนูออกแน่นอน

     3.2 ในระหว่างนี้ให้เร่งรัดขายบ้าน พูดง่ายๆว่าขายเงินดาวน์และส่วนที่ผ่อนไปแล้ว ให้เลิกคิดจะออกจากงานเอาเงินมาชดเชยหนี้ค่าบ้านเสีย เพราะทำแบบนั้นคุณจะไม่เหลืออะไรเลยในที่สุด หนี้ค่าบ้านก็เหลืออยู่อีกตั้งครึ่งคือท้ายที่สุดก็ถูกยึดบ้านอยู่ดี เงินก็ไม่พอใช้ ดังนั้นแผนหลักคือขายบ้านลูกเดียว ขายบ้านได้แล้วค่อยออกจากงานโดยเก็บเงินทุกเม็ดกลับบ้านไปอยู่กับแม่ โดยไม่เอาเฺงินไปถมหนี้ค่าบ้านที่ไม่มีทางถมเต็มเด็ดขาด

     3.3 ขณะเดียวกันก็ไปเยี่ยมคุณแม่พลางประเมินสถานะการณ์ไปพลางว่าหากมาอยู่กับคุณแม่แล้วจะมีปัญหาอะไรบ้าง ที่ทางพออยู่ไหม ความเครียดจากการดูแลจะมากหรือเปล่า เวลาว่างจะใช้ทำอะไร ตัวคุณซึ่งเป็นคนป่วยจะมาเป็นภาระให้แม่หรือเปล่า เงินจะพอใช้สำหรับสองคนไหม

     3.4 แล้วค่อยตัดสินใจ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองทางนี้

     ทางเลือกที่ 1. ขายบ้าน ออกจากงาน กลับไปอยู่กับแม่ ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด ลดรายจ่ายไม่จำเป็นและช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ค่ารักษาตัวเองทุกบาทใช้สิทธิ์ 30 บาทหรือประกันสังคมเท่านั้น ทั้งนี้อย่าลืมว่าส่วนที่สำคัญที่สุดของการรักษาคือการใช้ชีวิต อันได้แก่อาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด
 
     ทางเลือกที่ 2. อยู่คนเดียวนี่แหละ ไม่ไปอยู่กับแม่ จะขายบ้านหรือไม่ขายก็ได้ ถ้าค่าผ่อนบ้านต่อเดือนแพงกว่าค่าเช่าบ้านคนอื่นก็อาจจะขายบ้านแล้วเช่าบ้านคนอื่นอยู่ชั่วคราวระหว่างที่ยังทำงานมีเงินเดือนอยู่ ไม่ต้องห่วงคุณแม่ เพราะบางครั้งต่างคนต่างอยู่ก็ดีกว่าเตี้ยอุ้มค่อม ให้คุณทำงานและอยู่คนเดียวต่อไปจนนาทีสุดท้าย หมายความว่ารอจนเขาถีบออก จึงจะยอมออกจากงาน

     สองทางนี้เลือกทางไหนก็ได้ เมื่อเลือกแล้วก็ลุยไปกับทางนั้นแบบยอมรับทุกอย่างที่จะพบจะเจอบนเส้นทางที่เลือก ชีวิตวัยเกษียณแม้จะป่วยเป็นมะเร็งและมีเงินน้อยก็มีความสุขเต็มร้อยได้หากรู้จักวิธีใช้ชีวิตอยู่กับเดี๋ยวนี้ ตรงนี้ผมรับประกัน ส่วนโรคจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นนั้นอยู่กับวิธีกินวิธีใช้ชีวิตของเรา ยาไม่ได้ช่วยอะไรมาก อย่าลืมว่ามะเร็ง เป็นโรคที่วงการแพทย์ยังไม่มียารักษาให้หายนะ ไม่ว่าจะเป็นยาถูกยาแพง ยาเบิกได้ยาเบิกไม่ได้ ถ้ามันจะหาย มันหายเพราะระบบภูมิคุ้มกันของตัวเราเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์