จิตวิญญาณ (Spirituality)

การจะหลุดพ้นจากความย้ำคิด คุณต้องเริ่มเปิด feel สิ่งใหม่ๆสดๆทุกวัน

 


   (คืนนี้ผมเพิ่งเสร็จจาก SR16 โล่งใจสบายดี อากาศหนาวเย็นอย่างนี้จึงกางเต้นท์ใต้แสงจันทร์ที่ลานหน้าบ้าน เพื่อนๆมากินข้าวและชมดวงจันทร์ด้วยกันและถ่ายรูปนี้ให้ เป็นภาพมองผ่านเต้นท์กระโจมผ่านป่าหลังบ้านไปหาพระจันทร์ทรงกลด โปรดสังเกตว่าโทรศัพท์สมัยนี้ถ่ายกลางคืนยังเห็นสีเขียวของต้นไม้ได้เลย  เล่าให้ฟังเพื่อจะบอกว่า
จดหมายฉบับนี้ตอบจากในเต้นท์)  

สวัสดีครับคุณหมอสันต์ที่เคารพ 

          ผมมีเรื่องรบกวนปรึกษาคุณหมอหน่อยครับ  ผมอายุ 42 ปี   ปัจจุบันผมรับราชการครูสอนวิชาดนตรี ที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอแห่งหนึ่ง  งานหลักๆ ของคนครูดนตรีระดับมัธยมนอกเหนือจากการสอนในชั่วโมงเรียนคือการทำวงโยธวาทิต ซึ่งสำหรับคนเป็นครูดนตรีแล้วมันสำคัญกว่าการสอนในชั่วโมงเรียนซะอีกครับ  ซึ่งผมก็ทำหน้าที่นี้มาร่วมๆเป็น 10 ปีแล้ว โดยโรงเรียนของผมก็จะใช้วิธีรับสมัครจากนักเรียนที่มีใจรักเอามาเริ่มฝึกตั้งแต่เข้า ม.1 โดยใช้ช่วงเวลาว่าง เช่น หลังเลิกเรียน หรือ คาบกิจกรรม  ในการฝึกซ้อม  โดยไม่ได้มีการให้เกรดหรือว่าผ่านไม่ผ่าน ส่วนใหญ่ผลประโยชน์ที่นักเรียนจะได้รับก็จะเป็น ทุนการศึกษาเล็กๆน้อย (แล้วแต่งบประมาณบางปีก็ไม่ได้) และก็การช่วยเหลือเรื่องเกรดการเรียน(ถ้าเด็กเค้าเรียนกับผม)  ซึ่งหน้าที่หลักๆของวงโยธวาทิตของโรงเรียนผมคือ  การบรรเลงตอนเข้าแถวตอนเช้า  เดินพาเหรดในงานสำคัญต่างๆของอำเภอ และของโรงเรียน

ปัญหาของผมก็คือตลอด 10 กว่าปีที่ผมรับราชการเป็นครูดนตรี  ผมต้องเจอกับปัญหาเด็กที่เล่นวงโยธวาทิตลาออกเป็นประจำ  ซึ่งปัญหานี้มันให้ผมรู้สึกมีความทุกข์มาตลอดทุกปี  ซึ่งคุณหมอครับเด็กคนนึงกว่าเราจะฝึกให้เล่นเครื่องดนตรีอะไรเป็นได้ซักอย่าง กว่าจะเอามาช่วยงานได้ต้องใช้เวลานานนะครับ  ต้องฝึกกันมาตั้งแต่ม.1 พอเริ่มช่วยงานได้ก็ม.2 พอขึ้นม.3  ม.4  กำลังจะเริ่มเก่งก็มาลาออก  ผมก็ต้องไปเริ่มนับ 1  ฝึกเด็กม.1 ใหม่ปีหน้ามาแทนอีก  ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ของเด็กที่ลาออกก็คือ  เหนื่อย   ไม่มีเวลา   ซึ่งผมก็ไม่เคยไปบังคับอะไรเค้าถ้าใจเค้าเอาแล้วอยากออกก็ออก  แต่ภายในใจมันเริ่มรู้สึกท้อ  เสียใจ กับปัญหาเดิมๆที่ต้องเจอแบบนี้ทุกๆปี ว่าเราต้องทุกข์กับปัญหานี้ไปจนเกษียณเลยเหรอ ซึ่งมันทำให้ผมไม่มีความสุขเลย ผมเคยคิดที่จะย้ายโรงเรียนแต่ก็กลัวว่าจะต้องไปเจอปัญหาแบบเดิมๆอีก

สิ่งที่ผมอยากจะปรึกษาคุณหมอคือผมต้องทำยังไงถึงจะอยู่ในสภาพการทำงานแบบนี้อย่างมีความสุขได้ครับ   ผมจะหลุดพ้นจากปัญหานี้โดยยังทำงานอยู่ที่เดิมได้มั้ยครับ   ตอนนี้ผมลองฝึกวางความคิดโดยเริ่มฝึกนั่งสมาธิวันละ 30  นาที  เดินจงกรมวันละ 30 นาที มาได้ร่วมเดือนนึงแล้ว  โดยหวังว่าน่าจะช่วยให้ปล่อยวางและอยู่กับปัญหานี้อย่างมีความสุขได้  แต่พอต้องเจอกับปัญหานี้ก็ต้องกลับมาทุกข์แบบเดิมๆทุกที (วันนี้ล่าสุดเด็กก็พึ่งลาออกไปอีก 4 คน)   รบกวนคุณหมอช่วยแนะนำหน่อยครับ ว่าการฝึกสมาธิ ฝึกสติ จะสามารถช่วยให้เราหลุดพ้นจากปัญหานี้ได้มั้ย  ต้องใช้เวลานานแค่ไหนครับและต้องฝึกอย่างไรครับ

ขอบพระคุณคุณหมออย่างสูงครับ

……………………………………………

ตอบครับ

     จดหมายของคุณทำให้นึกถึงบทความหนึ่งของกามูส์ เรื่อง “ตำนานแห่งซิสซิฟัสว่าด้วยการฆ่าตัวตายและความไร้สาระของชีวิต” ต้นฉบับเป็นภาษาฝรั่งเศสแต่มีแปลเป็นภาษาอังกฤษอยู่ในอินเตอร์เน็ททั่วไป ฉบับที่ผมเคยอ่านเป็นงานแปลของจัสติน โอ เบรียน งานเขียนนี้จับเอาเรื่องปรัมปราในตำนานกรีกที่ว่าซิสซิฟัสไปทำผิดอะไรมาสักอย่าง ผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้วแต่ไม่อยากตายจึงหนีความตายจนสำเร็จ พระเจ้ารู้เข้ายั้วะมาก สั่งลงโทษด้วยการสาปให้ซิสซิฟัสต้องกลิ้งหินขึ้นภูเขา เมื่อใดก็ตามที่หินนั้นขึ้นไปถึงยอดเขา มันจะกลิ้งกลับมาอยู่ที่ตีนเขาใหม่โดยฤทธิของคำสาป เพื่อให้ซิสซิฟัสต้องกลิ้งมันขึ้นไปใหม่ เป็นเช่นนี้ชั่วนิรันดร ถือว่าเป็นการลงโทษที่แสบสะใจยิ่งกว่าการถูกฆ่าตายเสียอีก กามูส์ยกประเด็นตอนที่ซิสซิฟัสมองหินที่กลิ้งไปถึงยอดเขาแล้วกลิ้งหลุนๆกลับลงจากเขา ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ความพยายาม ความยากลำบากทั้งหลายสูญสิ้น คงจะรู้สึกเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากรู้สึกว่าชีวิตมันช่างไร้สาระสิ้นดี กามูส์บอกว่าคนเราที่เซ็งมะก้องด้องจนบ้างถึงคิดฆ่าตัวตายไม่ใช่เพราะความยากลำบากในชีวิต แต่เพราะทนความไร้แก่นสารของชีวิตไม่ได้ต่างหาก ตะเกียกตะกายแค่ไหน สุดท้ายก็คือความว่างเปล่า พูดแบบเราๆก็คือ..กฎเกณฑ์ทุกอย่างที่เราหลงเชื่อกันน้้นคือของหลอก พระจ้งพระเจ้าเป็นของเก๊ กฎแห่งกรรมทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วที่พระพร่ำสอนกันตามโบสถ์มันก็ไม่มีจริง นี่เป็นรากกำเนิดของแนวคิดแบบที่เรียกว่าเอ็กซิสตองเชียลลิสม์ (existentialism) ซึ่งชักชวนให้สาปส่งกฎเกณฑ์ศีลธรรมจรรยาบ้าบองี่เง่าจนน่าขันของคนค่อนโลกที่ล้วนยินยอมพร้อมใจกันเป็นคนแบบมือถือสากปากถือศีลทิ้งไปเสีย แล้วมานิยามชีวิตของตัวเองด้วยตัวเองและเดินหน้าชีวิตไปตามแบบฉบับของตัวเองดีกว่า เพราะชีวิตนี้ตัวเราเนี่ยแหละเป็นผู้เลือกสิ่งใดๆในชีวิตเรา เมื่อเราเลือกเอง เราก็ต้องรับผลเอง ไม่ต้องอ้างใคร ไม่ต้องโทษใคร ชีวิตแบบไหนมีความหมายไม่มีความหมายก็ไม่ต้องไปสนว่าพวกพระหรือพวกนายพลจะสอนว่าอย่างไร ให้เรากำหนดเอาเองแล้วใช้ชีวิตเอาเองตามนั้น นั่นคือคอนเซ็พท์ของพวกเอ็กซิสตองเชียลลิสต์ 

     ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเอ็กซิสตองเชียลลิสม์ดอกนะ แค่มีเหตุให้คิดถึงกามูส์ก็จึงแวะเล่าให้ฟัง กลับมาเรื่องของคุณดีกว่า คนที่มีปัญหาอย่างคุณนี้มีไม่ใช่น้อย ส่วนใหญ่หากเป็นคนทำงานก็มักอายุสี่สิบขึ้น หรือหากเป็นเด็กวัยรุ่นที่เฉลียวฉลาดก็เริ่มเกิดคำถามนี้เอาตั้งแต่อายุสิบกว่าปลายๆ ว่านี่มันอะไรกันวะเนี่ย เช้าคนเราต้องขับรถไปทำงาน นั่งทำงานเดิมๆซ้ำๆซากๆ เช้ายันเย็น รู้ทั้งรู้อยู่ว่าสิ่งที่เราทำไป จะกลับมาเป็นปัญหาให้เราทำใหม่อีก แล้วก็งกๆๆกลับบ้าน เพื่อจะไปทำอย่างเดิมอีกวันรุ่งขึ้น ทำไปจนถึงวันหนึ่งซึ่งเราแก่ได้ที่แล้วเราก็จะได้ตายๆไปตามอายุขัย นี่มันอะไรกันโว้ย..พี่น้อง ฮี่ ฮี่

     ความสำเร็จของการใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน

     เมื่อคุณทำวงโยธวาทิต ผมเดาเอาว่าคุณวางความสำเร็จไว้ที่การมีวงโยธวาทิตที่ดีเล่นดนตรีได้พร้อมเพรียงไพเราะเสมอต้นเสมอปลายเป็นที่ชื่นชมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หากประสบความสำเร็จอย่างนี้คุณจึงจะมีความสุข ฟังดูก็ไม่แปลก แต่นั่นคุณกำลังเอาความสุขไปแขวนไว้กับ “ความสำเร็จ” ซึ่งเป็นสิ่งภายนอกที่คุณควบคุมเงื่อนไขอะไม่ได้เลยนะ การที่เด็กลาออกจากวงซ้ำซากนั่นเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากที่คุณควบคุมไม่ได้ เช่นเด็กโง่ เด็กไม่ตั้งใจ เด็กมีปัญหาครอบครัว งบประมาณไม่พอซ่อมเครื่องดนตรี ครูใหญ่ไม่เข้าใจความยากลำบากของการฝึกสอนศิลปดนตรี แต่ขยันจี้จิกจะเอาผลงาน ฯลฯ

     ในชีวิตนี้นอกจากความคิดของคุณแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรที่คุณจะไปควบคุมบังคับได้เลย นี่มันเป็นสัจจธรรม ยิ่งคุณไปพยายามจะให้ปัจจัยนอกตัวต่างๆเป็นไปอย่างที่คุณอยากจะให้มันเป็น คุณก็ยิ่งจะมีความทุกข์ คุณจะย้ายโรงเรียน ลาออกจากราชการไปทำงานอื่น ตราบใดที่คุณยังเอาความสุขของคุณไปแหมะไว้กับความสำเร็จของงานซึ่งถูกล็อคโดยปัจจัยนอกตัว ตราบนั้นผมการันตีได้เลยว่าคุณก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ไปไหน ไม่ต้องย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนงานให้เหนื่อยเปล่าเลย

     ผมจะบอกคุณว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการจะทำนั่นทำนี่ได้สำเร็จอย่างใจหมายดอก แต่ความสุขเกิดจากการได้ใช้ชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นหากคุณอยากมีความสุขคุณไม่ต้องดิ้นรนไปเสาะหาชีวิตใหม่ที่พิศดารที่ไหนเลย ที่นี่เดี๋ยวนี้นี่แหละที่คุณจะพบกับความสุข ความสุขแบ่งง่ายๆเป็นสุขกายกับสุขใจ สุขกายก็คือคุณมีสุขภาพกายดี ซึ่งจะได้มาจากการที่คุณรู้จักจัดเวลาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีๆปรุงอย่างง่ายๆ ส่วนจะสุขใจนั้นก็ต้องเข้าใจก่อนว่าความทุกข์ใจมันมาจากไหน ความทุกข์ใจมันมาจากความคิด การจะหายทุกข์ใจคุณต้องสามารถวางความคิดหรือออกมาจากความคิดให้เป็นก่อน ถอยออกจากความคิดมาเป็นผู้สังเกต สังเกตดูร่างกายคุณ สังเกตดูความคิดคุณ เข้าใจว่าร่างกายนี้ไม่ใช่คุณ เข้าใจว่าความคิดนี้ไม่ใช่คุณ แม้ตัวตนความเป็นบุคคลของคุณซึ่งคุณพร่ำบอกตัวเองว่าคุณเป็นอาจารย์ดนตรีผู้สามารถชื่อ… ก็เป็นแค่คอนเซ็พท์ที่คุณยึดถือว่าเป็นคุณทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่คุณที่แท้จริงดอก การถอยออกมาจากความคิดหรือย้ายตัวตนหรือ identity ออกมาจากสำนึกว่าเป็นบุคคลมาเป็นแค่ความรู้ตัวซึ่งเป็นผู้สังเกตดูบทบาทของตัวเองในฐานะผู้เล่นลครชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่านั้นที่จะทำให้คุณพ้นทุกข์จากความคิดของคุณได้ 

     ชีวิตไม่ใช่ความเป็นอาจารย์ดนตรีผู้สามารถนะ นั่นมันเป็นแค่ผลพวงจากความคิดไร้สาระของคุณเอง การที่คุณมีชีวิตอยู่ ตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่เหน่งๆที่นี่ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ นี่ต่างหากคือชีวิต ชีวิตเป็นความสุขสงบเย็นเป็นธรรมชาติโดยตัวของมันเองหากไม่หลงไปยึดติดในความคิด ดังนั้นความสุขในชีวิตคุณไม่ต้องไปหาที่ไหน หาที่ข้างในตัวคุณนี่แหละ เดี๋ยวนี้แหละ เพราะชีวิตปรากฎที่เดี๋ยวนี้เท่านั้น คุณดิ้นรนหาความหมายของชีวิต ก็เพราะคุณไม่มีความสุขกับเดี๋ยวนี้ แต่ผมจะบอกคุณว่าในการใช้ชีวิตคุณอย่าตามหา (pursuit) ความสุข แต่ให้คุณแสดงออก (express) ถึงความสุขความเบิกบานจากข้างใน ดูความแตกต่างของคีย์เวอร์ดสองคำนี้ให้ดีนะ อย่า “ตามหา” แต่ให้ “แสดงออก” อย่าไปรอให้งานสำเร็จค่อยมีความสุข แต่ให้คุณมีความสุขกับชีวิตก่อนแล้วจึงค่อยลงมือทำงาน แล้วลูกศิษย์ของคุณจะได้รับสิ่งดีๆจากงานของคุณแน่นอน

      คนเราทุกคนมีชีวิตอยู่ในโลกสองใบ คือโลกใบที่ต้องมีชีวิตแบบธรรมดา ต้องมาโรงเรียนแปดโมงเช้า ต้องสอนเด็ก ต้องพูดจาชักจูงเด็กรุ่นใหม่มาเข้าวงเมื่อเด็กเก่าลาออก ต้องยกมือไหว้ทักทางครูใหญ่ ต้องเข้าคิวจ่ายเงินเวลาเข้าร้านเซเว่น ต้องจอดรถที่ไฟแดง นั่นคือความเป็นบุคคลคนหนึ่ง หรือการมีสำนึกว่าเป็นบุคคลคนหนึ่ง คุณต้องทำสิ่งธรรมดาเหล่านั้น เหมือนคนเล่นละครอยู่บนเวที คุณต้องเล่นไปตามบท 

     แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนก็มีความไม่ธรรมดา คือส่วนที่ผมเรียกว่า “ความรู้ตัว” นี่แหละ ที่เป็นส่วนไม่ธรรมดา ส่วนนี้มันไม่สนกฎเกณฑ์ คอนเซ็พท์ ศักดิ์ฐานะ คุณธรรม ศีลธรรม หรือได้เสียอะไรกับใครทั้งนั้นเหมือนคุณเป็นผู้ชมละครอยู่ข้างล่างเวที การจะวางความคิดลงและออกไปเป็นความรู้ตัว หรือย้ายตัวตนจากการเป็นผู้เล่นละครชีวิตไปเป็นผู้นั่งดูนี้ เป็นเสรีภาพของคนทุกคนที่ใครก็มาปิดกั้นไม่ได้ คุณต้องใช้เสรีภาพอันนี้ คุณจึงจะพ้นทุกข์

     แล้วในทางปฏิบัติจะให้ทำอย่างไร

     ที่คุณเริ่มต้นด้วยการฝึกนั่งสมาธิ (meditation) ทุกวันนั้นเป็นวิธีเริ่มที่ดีแล้ว เป้าหมายคือวางความคิดหรือหลุดพ้นไปจากความคิด ซึ่งแม้จะเป็นเส้นทางเดินที่ยาวแต่คุณก็ต้องเริ่มออกเดิน 

     ขณะเดียวกันให้คุณลองรับรู้ความรู้สึก (feel) หรือทำอะไรใหม่ๆทุกเช้า “feel” หรือ “ทำ” นะ ไม่ใช่ “คิด” อะไรก็ได้เล็กๆน้อยที่วันก่อนๆไม่เคย feel หรือไม่เคยทำ เช่นเมื่อเดินผ่านสนามฟุตบอลโรงเรียนในตอนเช้า ลองสูดลมหายใจลึกๆเพื่อ feel ความสดของอากาศยามเช้าเหนือสนามหญ้า มันเป็นการเปิดศักราชการสร้างสรรค์ (creativity) มันเป็นยาแก้โรคซ้ำซากของความคิด เพราะที่คุณติดหล่มจมปลักทุกวันนี้คือคุณคิดอะไรซ้ำๆซากๆ เมื่อคิดอะไรบ่อยๆซ้ำๆซากๆทุกวันก็กลายเป็นวงจรย้ำคิด (compulsiveness) สิ่งที่คุณคิดและทำในวันนี้ล้วนถูกผลักดันมาจากอดีตคือเมื่อวานนี้ และวันนี้จะกลายเป็นอดีตของวันพรุ่งนี้ให้สิ่งที่คุณคิดในวันนี้ผลักดันให้คุณคิดและทำซ้ำในวันพรุ่งนี้อีกเป็นวงจรชั่วร้ายไม่รู้จบโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย คุณจะต้องเปลี่ยนวันนี้ให้แตกต่างไปจากเมื่อวานนี้ โดยการทำอะไรใหม่ๆทุกวัน สิ่งละอันพันละน้อยก็ได้ จะเป็นการเพิ่มความลึกซึ้งในวิธีการทำงานของคุณ หรือการปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบตัวก็ได้ ให้มี creativity ทุกวันคุณจึงจะออกจากกับดักความซ้ำซากของความคิดได้ เมื่อคุณทอนอิทธิพลของความคิดซ้ำซากได้ คุณจะเริ่มเปิดรับสิ่งใหม่ๆทุกอย่างที่จะโผล่เข้ามาในวันนี้ได้ทีละช็อต ทีละช็อต แล้วคุณก็จะมีความสุขอยู่กับวันนี้ได้โดยไม่ต้องมีวาระหรือความคาดหวังล่วงหน้าใดๆ แล้วคุณก็จะค่อยๆเข้าถึงความรู้ตัวได้ และหลุดพ้นจากความย้ำคิดของคุณเองได้ในที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์