Latest

เรื่องไร้สาระ (14) เจ้าไม่รักข้า แล้วดีต่อข้าทำไม

ช่วงโควิดนี้หมอสันต์มีเรื่องให้บ้าอยู่หลายเรื่อง รวมทั้งม้าไม้ซึ่งรอการซ่อมแซมหลายตัว พอตั้งท่าจะซ่อมม้า ม้าก็วิ่งมาหากันใหญ่ นับรวมกันได้ตอนนี้มียืนรอและนอนรอต่อคิวอยู่ในห้องเก็บของแล้วรวมทั้งสิ้นสี่ตัวถ้านับตัวที่ไม่มีขาเป็นหนึ่งตัวด้วย กับอีกหนึ่งหัว(ม้า)ที่ยังไม่มีตัว วันนี้อยู่บ้านกรุงเทพเลยทำตัวแรกเสียที่บ้านกรุงเทพนี่แหละ เป็นม้าไม้โยกเยก เข้าใจว่ามาจากทางจีน เพราะเป็นม้าแบบมองโกลออกศึก คาดผ้าคลุมประดับพู่ห้อยหลากสีลายพร้อย สวมอานและบังเหียนหนักแน่น มีมีดดาบรูปพระจันทร์เสี้ยวเสียบอยู่ข้างอานทั้งสองข้างซ้ายขวาข้างละหนึ่งด้าม ฝีมือแกะสลักไม้อยู่ในระดับ ขอโทษ..แข็งกระโด๊ก สีก็ช่างลิเกซะ เขียว แดง น้ำเงิน ส้ม เหลือง เห็นม้าตัวนี้แล้วผมคิดถึงเจ้าหญิงฮัวเจิงในเรื่องมังกรหยกซึ่งผมชอบดูสมัยเป็นแพทย์ฝึกห้ดนอนเวรอยู่ในหอพัก เจ้าหญิงฮัวเจิงเธอเป็นลูกสาวของเจ็งกิสข่าน ราชาของเผ่ามองโกลผู้เกรียงไกร เธอเป็นยอดหญิงบนหลังม้าระดับเยี่ยมวรยุทธ์ แต่มาตกม้าตายตรงที่หลงรักหนุ่มซื่อบื้อแล้วเป็นงงว่าทำไมเขาไม่รักเธอ เจ้าหนุ่มคนนั้นเติบโตมาด้วยกันและสนิทสนมกันมาก ชื่อก้วยเจ๋ง เมื่อรู้ว่าเธออกหัก ทั้งๆที่เป็นนักรบบนหลังม้าเธอก็ไม่วายร้องห่มร้องไห้เป็นเผาเต่าและพิลาปรำพันตัดพ้อต่อว่าก้วยเจ๋งด้วยความไม่เข้าใจว่า

“เจ้าไม่รักข้า แล้วเจ้าดีต่อข้าทำไม”

ซึ่งเจ้าก้วยเจ๋งผู้ซื่อบื้อก็ตอบว่า

“ก็เจ้าดีต่อข้า ข้าก็จึงดีต่อเจ้า”

ฮี่..ฮี่ นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเกิดเป็นผู้ชายอย่าซื่อบื้อเกินเหตุ เดี๋ยวจะไปทำให้ผู้หญิงเขาอกหักร้องห่มร้องไห้โดยตัวเองไม่รู้ตัวเข้า

กลับมาคุยเรื่องไร้สาระของเราต่อดีกว่า ผมเริ่มต้นการซ่อมโดยพยายามจะทำให้งานแกะสลักที่แข็งกระด้างอ่อนช้อยลงมาสักหน่อย เริ่มที่พู่ผมของม้า แต่พอทำไปได้สองสามเส้นผมก็ถอดใจ เพราะไม้ของม้าตัวนี้เป็นไม้อะไรไม่รู้ที่เนื้อยุ่ยง่าย ไม่แน่นเหมือนไม้สัก คงจะเอาดีไม่ได้ จะอาศัยความคมของสิ่วช่วยรึ สิ่วของผมก็เป็นสิ่วช่างไม้ธรรมดาไม่ใช่สิ่วงานแกะสลักจึงไม่คมพอ ครั้นจะลงทุนซื้อชุดสิ่วแกะสลักก็ใช่ที่เพราะทำโครงการกระจอกซ่อมม้าขี้กะโล้สามสี่ตัวจะถึงขั้นซื้อเครื่องไม้เครื่องมือกันเป็นกล่องเชียวหรือ คิดได้แล้วจึงลดจ๊อบสำหรับม้าตัวแรกลงเหลือแค่ซ่อมกลไกโยกเยกให้ใช้การได้แล้วขัดทาสี กะว่าจะทาสีขาวให้ว่อกไปทั้งตัว คือเปลี่ยน look ให้เป็นม้าแบบยุโรปรู้แล้วรู้รอด พอล้างไม้ ขัดสีฉวีวรรณ ขัดกระดาษทราย พร้อมทาสี แต่แล้วก็เอะใจว่าสีลิเกนี่เวลามันอ่อนลงหน่อยมันก็สวยดีนะ จึงลังเลที่จะทาสีขาวทับ ทับดี ไม่ทับดี เอาไปตากแดดทิ้งไว้ที่หน้าบ้านก่อนรอให้ปัญญาญาณเป็นตัวตัดสิน พอดีหมอสมวงศ์ผ่านมาจึงถามความเห็นเธอดู เธอส่ายหัวด๊อกแด๊ก สรุปว่าลิเกเกินไป รับไม่ได้ เออ เห็นด้วย สมัยนี้ใครเขาจะสนใจม้าขององค์หญิงฮัวเจิงกัน ทำเป็นม้าขาวแบบยุโรปนะดีแล้ว

แต่ใจหนึ่งก็ยังอาลัยลายลิเกอยู่ จึงไปหาซื้อสีน้ำมันรุ่นเก่าแบบอีนาเมลมาทาเพื่อให้พอมองเห็นลายลิเกรางๆอยู่ลึกๆ คือกะจะให้มันเป็นม้าสองบุคลิก หรือม้าสองสัญชาติ กึ่งมองโกล กึ่งยุโรป พอไปหาซี้อสีที่กลางซอยเจ้าของร้านบอกว่าสีรุ่นนั้นมีแต่สีเก่าที่กำลังจะโละสต๊อกจะเอาไหม ถ้าเอาจะลดราคาให้ ผมรีบตกลงซื้อทันที เพราะนอกจากจะประหยัดเงินแล้ว เผื่อทาแล้วภรรยาตำหนิว่าไม่สวยจะได้อ้างได้ว่าก็สีมันเก่าเกินไป หิ หิ

ขณะอยู่ในร้าน เด็กในร้านบอกว่ารถของลุงยางมันแบนแต๊ดเลยนะ ผมออกไปดูก็เห็นล้อหน้าซ้ายแบนแต๊ดจริงสมคำกล่าวหา คงเป็นเพราะแก้มยางแตกจากการที่ผมเบียดขอบฟุตบาทเมื่อเช้านี้ ก็เลยต้องลากเอายางอะไหล่มาเปลี่ยนกันตรงนั้นเลย เด็กในร้านและเจ้าของร้านตามออกมาอนุเคราะห์ช่วยเหลือ ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีก็เอารถออกไปต่อได้ เป้าหมายแรกคือร้านยางที่ปากซอย วันนี้โหลงโจ้งหมดไปเกือบสี่พัน ค่าสีค่าพูกันและทินเนอร์ 150 บาท ค่ายางรถหนึ่งเส้น 3800 บาท ฮือ..ฮือ จะโทษใครได้เพราะตัวเองขับรถงุ่มง่ามเอง กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็มืด ต้องตามไฟทำโครงการม้าต่อ ทาสีไปได้เกือบจบแล้วเด็กแม่ครัวในบ้านซึ่งเป็นชาวต่างชาติเดินผ่านมาก็ร้องว่า

“อ้าว เดิมมันเป็นสีๆสวยมากอยู่แล้วคุณหมอไปทาสีขาวทับทำไมละ” ผมเธอตอบว่า

“นั่นมันสวยแบบลูกทุ่ง แต่ฉันจะเอาความสวยแบบลูกกรุง”

โปรดสังเกตมีดรูปพระจันทร์เสี้ยวเสียบไว้ที่ข้างอาน

ทาสีจบแล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน จากม้ามองโกลกลายมาเป็นม้ายุโรป จากความสวยแบบลูกทุ่ง มาเป็นความสวยแบบลูกกรุง กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไปขายหรือไปยกให้ใครดี ขายก็กลัวไม่มีคนซื้อ ให้ก็สงสารคนรับเพราะลายสลักมันไม่ได้สวยงามอ่อนช้อยคลาสสิกอะไร เอาไปตั้งไว้ขี่เองที่บ้านมวกเหล็กละกัน เพราะม้าตัวนี้กลไกโยกเยกแข็งแรงรับน้ำหนักผู้ใหญ่ได้ สมัยผมเด็กๆอยากขี่ม้าโยกเยกแต่ไม่ได้ขี่เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินซื้อ พอน้องสาวคลานตามหลังออกมาห่างจากผม 4 ปี พ่อแม่เริ่มมีเงินบ้างก็จึงซื้อม้าโยกเยกให้น้องสาวตัวหนึ่ง วันหนึ่งผมขึ้นไปห้อม้าโยกเยกของเธอเต็มเหยียดจนเสียงดัง กึง กึง กึง เธอร้องลั่นเพราะกลัวม้าเธอพัง ในที่สุดพ่อก็ออกกฎห้ามไม่ให้ผมขี่ม้าโยกเยกเพราะผมโตเกินไปแล้ว แม้จะไม่ได้ขี่ แต่ความสุขในใจเมื่อได้ขี่ม้าโยกเยกยังอยู่ คราวนี้จะได้ขี่สมใจแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์