Latest

PM 2.5 กับปัญหาแม่ผัว-ลูกสะใภ้

สวัสดีค่ะ คุณหมอ
เนื่องจากคุณแม่สามีชอบหุงหาอาหารโดยใช้เตาฝืน และก่อไฟไล่ยุง ด้วยเศษใบไม้ กิ่งไม้ และบ่อยครั้งก็มีเผาขยะ ถุงพลาสติก กระป๋อง ฯลฯ เคยบอกไปแล้วว่าเราแสบตา หายใจไม่ค่อยสะดวก มีลูกอายุ 2 ขวบด้วยค่ะ เราบอกว่ามันไม่ดี อันตราย แกบอกคนสมัยก่อนก็ทำแบบนี้ไม่เห็นจะเป็นอะไร แข็งแรง อายุยืน ลูกก็จะได้มีภูมิ แกจุดควันมันเข้ามาคลุ้งอยู่ในบ้าน แสบตา หายใจไม่สะดวกค่ะ หนูอคติไปเอง หรือเปล่าคะ ไปหาข้อมูลในเน็ตมา มีแต่โทษค่ะ เช่นสะสมจะเป็นมะเร็งปอด มีละอองฝุ่น PM2.5 เป็นต้น แต่ก็ไม่สามารอธิบายแกได้ว่า ทำไมคนสมัยก่อนไม่เป็นอะไร รบกวนคุณหมอด้วยนะคะ
ด้วยความเคารพค่ะ

……………………………………………………………

ตอบครับ

“ข้าแต่ศาลที่เคารพ เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจำเลยเล้ย มันเป็นประเด็นแม่ผัว-ลูกสะใภ้ แต่จำเลยถูกลูกหลง โดนคู่กรณีฝ่ายหนึ่งลากเข้ามาร่วมวงด้วย”

หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น มาตอบคำถามคุณดีกว่า

1.. ถามว่าควันจากการเผาทุกรูปแบบมีอันตรายไหม ตอบว่ามีสิครับ ควันทุกชนิดเมื่อสูดเข้าไปล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งสิ้น เขม่าควันไฟมีสารก่อมะเร็งอยู่นับได้หลายสิบตัวสุดแล้วแต่ว่าจะเป็นไฟที่ก่อจากอะไร นอกจากนั้นยังทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับปอดและหัวใจมากขึ้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีรถยนต์มากหรือมีฝุ่น PM2.5 มากก็มีโอกาสตายจากโรคหัวใจและโรคปอดมากขึ้น พูดถึงฝุ่น PM 2.5 มันก็คือเขม่าควันจากการเผานี่แหละแต่นับเอาเฉพาะที่เม็ดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนลงไปซึ่งเป็นขนาดที่ลงลึกไปถึงทางเดินลมหายใจส่วนล่างได้ง่ายและก่อโรคได้มากกว่าเม็ดควันขนาดใหญ่ คนที่ปลูกบ้านใกล้ร้านอาหารที่โดนควันไฟรมอยู่ประจำก็มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ปลูกบ้านอยู่ในที่ไม่มีควัน คนที่ชอบกินอาหารเช่นเนื้อย่าง ปลาเผา ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ปรุงอาหารด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การย่างหรือเผา เป็นต้น

พูดถึงเรื่องถูกรมควันขอเล่านอกเรื่องหน่อยนะ สมัยผมเป็นเด็ฏหนุ่มยังเรียนมัธยมต้น ประมาณพ.ศ. 2511 ได้รวมสมัครพรรคพวกได้สี่ห้าคนไปเดินป่าที่อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ไปนอนค้างแรมบนบ้าน “เสี่ยว” หรือสหายชาวแม้ว บ้านของเขาเป็นกระท่อมซึ่งหลังคาและผนังทำจากหญ้าคาปลูกติดดินอยู่บนชะง่อนเขาสูง เราไปถึงเอาตอนค่ำก็เข้านอนเลย ธรรมเนียมของแม้วเขาเวลานอนเขาจะต้องติดฮีตเตอร์สร้างความอบอุ่นซึ่งก็คือเตาฟืนบนพื้นดินในบ้านเขานั้นแหละ ควันจากเตาก็อบอวลไปทั่วทั้งบ้าน เพราะกลางคืนเขาปิดหน้าต่างหมด ในบ้านนอกจากจะมีคนแล้วยังมีหมูและม้าด้วย ผมนอนหายใจไม่ออกจึงแอบแหวกผนังซึ่งโชคดีเป็นหญ้าคาเพื่อหายใจ ลมหนาวเป่าสวนทางเข้ามาแต่ละทีเย็นเหมือนจะเฉือนจมูกทิ้งได้เลยเชียว พอรุ่งเช้าผมแอบถามเด็กลูกเสี่ยวว่าในบ้านที่นอนอยู่ด้วยกันนี้มีกี่ชีวิต จึงพบว่านอกจากตัวเสี่ยวแล้วยังมีเมียเขาอีก 2 คน ลูกอีก 5 คน หมูอีก 2 ตัว ม้าอีก 1 ตัว และพวกเราซึ่งเป็นแขกอีก 5 คน รวมแล้ว 15 ชีวิตยัดเข้าไปในกระต๊อบเล็กๆนั้นแล้วรมควันแบบหมูแฮม โห..ผมรอดชีวิตมาได้ไงเนี่ย

2.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแนะนำด้วยความปรารถนาดี ว่าการจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านแม่ผัวให้มีความสุขและมีสวัสดิภาพนั้น คุณควรปรับโลกทัศน์ของคุณไปบ้าง ดังนี้

2.1 ให้เอาคำพังเพยโบราณสองคำมาบวกกัน คือ “อย่าสอนหนังสือสังฆราช” กับ “อย่าสอนจรเข้ให้ว่ายน้ำ” บวกกันแล้วหารสองกลายเป็น “อย่าสอนสังฆราชให้ว่ายน้ำ” แปลว่าแม้สังฆราชจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่คุณไม่ต้องไปสอน ถึงสอนท่านก็ว่ายไม่เป็นอยู่ดี เพราะท่านแก่เกินจะฝึกว่ายน้ำได้แล้ว

2.2 เมื่อผู้สูงวัยตัดสินว่าอะไรดีไม่ดีจากความจำของท่าน หากคุณไม่เห็นด้วยให้เงียบเสีย ฝึกหูให้ฟังเสียงระดับปรมัตถ์ให้เป็น คือจับเอาเฉพาะโน้ตดนตรีของเสียง อย่าจับเอาสาระในเชิงภาษา คุณต้องเข้าใจว่าสมองของคนที่ยังไม่บรรลุธรรมยังไม่มีปัญญาญาณพาให้รู้แจ้ง จะวินิจฉัยอะไรได้ก็จากความจำดั้งเดิมของตนเองเท่านั้น แก่นแท้ของความคิดมนุษย์ก็คือการรีไซเคิลความจำเก่าๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่ละคนมีความจำไม่เหมือนกัน ผลของการรีไซเคิลก็ออกมาไม่เหมือนกัน คุณต้องเปิดใจยอมรับโดยดุษฎี แปลว่ายอมรับแบบนิ่งๆเงียบๆ อย่าเถียง

เขียนถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องอีกหน่อยนะ หลายปีก่อนมีแพทย์ฝึกหัดท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเนื่องจากมีแพทย์อยู่ชนบทไม่ได้ต้องลาออกโดยจ่ายเงินใช้ทุนกันมาก ทางกระทรวงสธ.จึงส่งแพทย์อาวุโสไปเยี่ยมดูแลสาระทุกข์สุกดิบรับฟังความคับข้องใจของหมอรุ่นคุณหนู แพทย์ฝึกหัดเมื่อมีคนมาฟังก็ระบายกันใหญ่ โน่นก็ไม่ดี นี่ก็มีปัญหา ซึ่งแพทย์ใหญ่ที่ออกไปรับฟังก็จะพูดซ้ำซากว่า

“..สมัยผมมันแย่กว่านี้นะ”

จนในที่สุดแพทย์สาวท่านหนึ่งอดไม่ได้จึงพูดแซวผู้ใหญ่ขึ้นมาว่า

“..ถ้าจะเอาทุกอย่างเท่าสมัยอาจารย์ แล้วอาจารย์มาเยี่ยมหนูทำไมละคะ”

ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

2.3 ชื่อว่าคนแก่ แม้อะไรจะเสื่อมไปมาก แต่สิ่งที่ยังแข็งแรงเหนียวแน่นไม่เสื่อมคลายคือ “อัตตา” การจะอยู่กับคนแก่คุณต้องสวามิภักดิ์ด้วยท่านอย่างชาญฉลาด คือตัวคุณต้องเข้าไปช่วย จะทำอะไรใหม่ก็ต้องให้เป็นวินิจฉัยหรือเป็นอนุมัติของท่าน เช่น

“คุณแม่คะ หนูขออนุญาตเอาใบไม้ของคุณแม่ไปทดลองทำปุ๋ยอินทรีย์ด้วยวิธีฝังกลบได้ไหมคะ”

เป็นต้น

2.4 การจะอยู่กับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่ต่างวัยคุณต้องอยู่ด้วยหัวใจ ไม่ใช่อยู่ด้วยความคิด ความคิดจะถูกเสี้ยมโดยอัตตาของเราเอง ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่าง “กลัว” อีกฝ่ายหนึ่งว่าจะมาลบหลู่อัตตาของตัวเอง เมื่อคนขี้กลัวมาอยู่กับคนขี้กลัว การห้ำหั่นกันก็พร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ สมองของคนเราถูกโปรแกรมให้ขี้กลัว ขี้สงสัย และขี้ขาดแคลน ยิ่งถ้าเป็นลูกสะไภ้สมองก็จะถูกโปรแกรมอย่างแรงให้กลัวแม่ผัว คุณต้องพาตัวเองออกจากตรงนั้น มาอยู่ในมู้ดของความรักเมตตา ร่าเริง และมีพลังที่เหลือล้นพร้อมที่จะเผื่อแผ่อย่างสร้างสรรค์ เริ่มต้นด้วยอะไรเล็กน้อยๆในบ้านของแม่ผัวที่คุณชอบหรือมีความตื่นเต้นที่จะได้ทำ ที่จะได้เป็นผู้ “ให้” ก่อน เริ่มจับที่ตรงนั้น แล้วลงมือทำโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ไม่คำนึงถึงผลลัพท์ ทำไปเพราะความรัก เพราะความอยากให้ การให้มันไม่ยากดอก ยิ่งให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนยิ่งไม่ยาก แค่ยิ้ม คุณก็เป็นผู้ให้แล้ว ทำอย่างนี้แล้วในชีวิตจริงผลลัพท์ดีๆมันจะตามมาเอง ผมจะบอกความจริงของชีวิตอย่างหนึ่งให้นะ ตัวเราเป็นผู้สร้างความเป็นจริงรอบตัวขึ้นมาจากความกลัวของเราเอง ไม่ว่าในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากความกลัวว่ามันจะเกิด หรือความเชื่อว่ามันจะเกิดทั้งนั้นแหละ

3. ข้อนี้ไม่ใช่สำหรับคุณ แต่สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป โดยเฉพาะสำหรับหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงาน หมอสันต์แนะนำว่าจะแต่งงานทั้งทีอย่าแต่งงานแบบเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของแม่ผัว นี่เป็นคำแนะนำเชิงป้องกันที่ดีที่สุดที่ผมจะให้ได้ แต่หากคุณมีเหตุผลสารพัดที่จะต้องแต่งงานแล้วไปอยู่กับแม่ผัวให้ได้ ก็ โอเค้. โอเค. ซึ่งในกรณีเช่นนั้นผมแนะนำให้คุณใช้ชีวิตแบบอยู่กับหมอฟัน คือ

“…..อ้าปาก แล้วฟังอย่างเดียว”

หิ หิ จบดีกว่า เดี๋ยวหมอฟันเขาจะโกรธเอา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์