Latest

นั่งสมาธิขั้นลึกแล้วจะมีสิ่งเหนือการควบคุมเกิดขึ้นจริงหรือ

สวัสดีค่ะอาจารย์ดิฉันฝึกสมาธิด้วยตัวเองมาจะตรึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังคิดว่าตัวเองยังวางความคิดไม่ได้เสียที ก็ได้บทความอาจารย์ช่วยกระตุ้นให้รู้จักการวางบ่อยๆก็พยายามฝึกอยู่ค่ะ ทีนี้การฝึกสมาธิของสามีดิฉัน(ต่างชาตื)ซึ่งไปมาหลายสำนักแต่ไม่ใช่แนวพุทธ เป็นพวกspiritual group แม้กระทั่งไปเข้าเรียนการทำสมาธิที่เขาเปิดสอน แต่ในชีวิตจริงดูๆแล้วเขายังยึดติดกับความคิดของตัวเองอยู่มาก และยังมองโลกในแง่ร้ายอยู่ เช่นเวลาได้ข่าวใครป่วย ก็จะคิดเลยเถิดไปว่าเขาต้องไม่รอดแน่ๆ หรือสถานการณ์โควิด มันต้องเลวร้ายลงทุกทีและอีกนานกว่าจะดีขึ้น  ทึ่สำคัญคือเวลานั่งสมาธิไปสักพัก เขาจะสะอื้น น้ำตาไหลบ้าง เขาบอกมีภาพสะเทือนใจตอนเด็กๆเช่นพ่อแม่ทะเลาะกันบ้าง ตัวเองโดนพี่ๆแกล้งบ้าง แต่ฟังดูแล้วไม่น่าที่จะเอามาเป็นอารมณ์ได้บ่อยๆเวลาทำสมาธิ แต่ก็ยังเกิดขึ้น พอได้อ่านที่อาจารย์ตอบน้องที่ถูกครูขังแล้วอยู่คนเดียวไม่ได้ อาจจะคล้ายๆกันหรือเปล่า ก็ได้แต่บอกเขาว่าก็อย่าไปคิดมันสิ เขาก็บอกไม่ได้คิดมันเกิดมาเองตอนทำสมาธิ ดิฉันไม่เข้าใจหรอก เพราะดิฉันยังทำสมาธิไม่ถึงขั้นที่เขาทำ และบางครั้งจะมีอาการคล้ายhyperventilationหรือภูมิแพ้ที่ออกอาการไอ มีเสมหะมากมายโดยไม่ทราบสาเหตุ

ดิฉันไม่อยากทำสมาธิกับเขาเพราะเขาจะเอาภาษาแปลกๆที่เราก็ไม่รู้ความหมายมาท่อง ไม่ใช่มันตราแต่ลักษณะเป็นบาลีหรือสันสกฤต และใชัจินตนาการมากเหลือเกินไม่ใช่ไปสู่ความว่าง ไม่ใช่ทางของดิฉัน และที่ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องไปเข้ากลุ่มทำสมาธิบ่อยๆนั่งทำคนเดียวไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ก็เข้ากลุ่มสมาธิออนไลน์ และบางครั้งเวลามีเพื่อนที่จะทำสมาธิก็จะไปร่วมกับเขาแต่ไม่บ่อยเหมือนก่อนโควิดระบาด กลายเป็นเสพติดสมาธิไปเลย คิดอีกทีก็ดีกว่าเขาไปกินเหล้า เที่ยวกลางคืนได้แต่หวังว่าสักวันเขาคงจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเขาอาจหลงทางอยู่หรือเปล่า หรือไม่ก็ดิฉันเองที่เข้าใจเขาผิดไป สิ่งที่ดิฉันสงสัยคือการทำสมาธิขั้นลึก จะมีสิ่งเหนือการควบคุมเกิดได้จริงหรือ และการนั่งสมาธิคนเดียวจะไม่เกิดพลังหรือenergyเท่าการทำสมาธิกลุ่ม แต่ที่ฟังจากเขาส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงAscended masterที่จะเข้ามาjoinด้วย และเขาจะชึ่นชมสัคว์ในเทพนิยายเช่นยูนิคอร์น คนแคระ ฯลฯ ถ้าเขายังติดกับเรื่องนี้ที่ไม่ใช่การทำสมาธิที่แท้จริง มีวิธีไหนที่จะช่วยเขาได้บ้าง

ขอบคุณค่ะ

………………………………………………..

ตอบครับ

1.. การที่สามีไปทำสมาธิกับกลุ่ม spiritual group โดยมีเทพ (ascended master) มาแจมด้วย แถมมีสัตว์ในเทพนิยายอย่างยูนิคอร์นกับคนแคระอีกต่างหาก เขาเพี้ยนไปสุดกู่แล้วหรือเปล่า ตอบว่าเปล่าหรอกครับ คือเส้นทางที่จะวางความคิดหรืออีโก้ของตัวเองแล้วกลับสู่ความว่างอันสงบที่ข้างในจนมีชีวิตที่สงบเย็นและสร้างสรรค์ได้ มันมีหลายเส้นทาง บางเส้นทางก็ดูแหวกแนวซะ อย่างจับกลุ่มนั่งสมาธิแล้วมีเทพมาแจมนี่เด็กๆ บางกลุ่มมีมนุษย์ต่างดาวมาเข้าทรงเองเลย บางกลุ่มเป็นการประชุมสภาเทพ คือไม่ใช่เทพองค์เดียวนะ เป็นสภา นึกภาพสภาผู้แทนของไทย หิ..หิ ลองนึกดูซิ มันจะมันขนาดไหน แต่ไม่ว่าใครจะเลือกเส้นทางพิศดารอย่างไร ขอให้คุณเปิดใจว่าช่างเขาเถอะ เมื่อเข้าไปลึกๆแล้วมันจะไปโผล่ที่ที่เดียวกันนั่นเอง คือที่ข้างในที่ว่างจากความคิดและสงบเย็น เมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วทุกคนก็จะไม่ทุกข์และจะมีชีวิตที่สร้างสรรค์ได้เหมือนกันหมด อาจจะมี gimmick เพี้ยนๆเป็นน้ำจิ้มประกอบเพื่อความบันเทิงส่วนตัวเขา ก็ช่างเขาเถอะ ให้สนใจที่การเข้าถึงแก่นก็พอ

2.. ถามว่านั่งสมาธิแล้วเห็นเหตุการณ์ในอดีตที่น่าเศร้าจนต้องร้องไห้ ควรแก้ไขอย่างไร ตอบว่าบางคนเมื่อความคิดสงัดลงระดับหนึ่ง ความคิดจะปรากฎเป็นภาพ เหมือนนั่งดูหนัง คนที่ไม่เคยดูหนังได้ดูหนังสักครั้งก็จะติดใจนั่งดูและลุ้นให้หนังมีให้ดูต่อไปนานๆ แต่คนที่ดูหนังบ่อยๆก็จะจับทางได้ เดี๋ยวพระเอกก็จะตบนางเอกแล้วจูบนางเอก ตบจูบ ตบจูบ แล้วก็จบ พอมาถึงขึ้นนี้แล้วเขาก็เริ่มจะรู้ไต๋ของหนังแล้วเอ็นจอยกว่าถ้าจะถอยออกมาสังเกตการณ์หนังนั้นอยู่ห่างๆโดยไม่อินกับเรื่องราวของหนังนั้นอีกต่อไป พอหนังเรื่องไหนที่คนดูเลิกอิน ในที่สุดหนังก็เลิกฉาย เพราะหนังที่ฉายขึ้นมาในสมาธิก็คือความคิด มันจะเป็นเรื่องราวมีชีวิตดำเนินเรื่องอยู่ได้ตราบใดที่เราปล่อยให้ความสนใจของเราไปขลุกอยู่ในนั้น แต่เมื่อใดที่เราถอยความสนใจของเราออกมานั่งสังเกตอยู่ห่างออกมาสักนิด หนังนั้นจะฝ่อหายไปเอง

ตอนนี้สามีคุณเพลิดเพลินกับการดูหนัง ช่างเขาเถอะ ดีเสียอีกไม่ต้องเสียเงินให้เน็ทฟลิกซ์ ถ้ามีจังหวะดีๆคุณลองเสนอเขาว่าลองนั่งดูหนังนั้นอย่างผู้สังเกตจากภายนอกบ้างซิ อาจได้อรรถรสใหม่ๆก็ได้ เช่นเมื่อเห็นเรื่องราวโศกเศร้าก็มองให้เห็นว่าเรื่องกำลังเศร้า เรากำลังนั่งดูเรื่องเศร้า และความรู้สึกเศร้ากำลังเกิดขึ้นกับเรา มองให้เห็นว่าเราก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกเศร้าก็อีกส่วนหนึ่ง มองให้เห็นอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวก็จะหลุดพ้น คือวางหนังซึ่ง แท้ที่จริงก็คือความคิดของเรานั่นเองลงได้

3.. ถามว่านั่งสมาธิแล้วหายใจเร็วฟืดฟาด (hyperventilation) หรือเสมหะมาก หรือไอแบบภูมิแพ้ จะต้องแก้ไขอย่างไร ตอบว่าไม่ต้องไปแก้ไขอะไรหรอก ธรรมชาติของร่างกายเรานี้เมื่อความคิดลดน้อยลงปริมาณไฟฟ้าที่วิ่งในเส้นประสาทอัตโนมัติในขาเร่ง (sym) และขาหน่วง (parasym) จะเปลี่ยนไป หลอดเลือดที่เคยหดจะขยายตัว กล้ามเนื้อที่เคยเกร็งจะผ่อนคลาย อวัยวะที่ทำงานภายใต้ระบบประสาทอัตโนมัติดูจะทำงานเพี้ยนไปหมด อันนี้มันเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปทำอะไร แค่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น นานไปแล้วมันจะค่อยๆจูนตัวเองและลดความเวิ่นเว้อลงไปเอง

4.. ถามว่านั่งสมาธิกับสามีแล้วเขาพูดภาษาแปลกๆฟังไม่เข้าใจน่ารำคาญ ควรทำอย่างไร ตอบว่า อ้าว.. ก็ดีกว่าเขาพูดอะไรที่คุณเข้าใจไม่ใช่หรือครับ คุณเคยนั่งริมสระเวลากบอึ่งอ่างคางคกร้องกันระงมหรือเปล่าละครับ เสียงมันดังยังกับรถแบ้คโฮกำลังทำงาน คุณฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่ากบมันพูดอะไรก้น แต่คุณถ้าคุณสนใจฟังเสียงอันดังของอย่างรับรู้ว่ามีเสียงเกิดขึ้นโดยไม่คิดอะไรต่อยอดเสียงนั้นจะพาคุณหลุดออกมาจากความคิดของคุณได้นะ เท่ากับว่าเสียงดังนั้นแหละเป็นสิ่งที่คุณอาศัยลากความสนใจของคุณออกมาจากความคิดมาจอดอยู่ที่เสียงนั้นแทน ได้ประโยชน์เห็นแมะ

5.. สามีทำสมาธิแล้วมีความคิดแยะ จะช่วยเขาได้อย่างไร ตอบว่าวิธีช่วยให้คนอื่นหลุดพ้นจากความคิดได้ง่ายที่สุดคือคุณทำตัวเองให้หลุดพ้นจากความคิดของคุณก่อน เมื่อคุณหลุดพ้นจากความคิดงี่เง่าของตัวเองได้แล้ว คุณก็จะกลายเป็นคนสงบเย็นและสร้างสรรค์ ใครมาอยู่ใกล้ก็คุณก็จะเห็นและจะอยากรู้ว่าคุณทำอย่างไรจึงสงบเย็นและสร้างสรรค์ได้ เขาจะเริ่มเลียนแบบคุณเองโดยคุณไม่ต้องสอนอะไร นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยคนอื่นให้หลุดพ้นจากความคิดของเขาเอง

6.. ถามว่านั่งสมาธิถึงขั้นลึกแล้วจะมีสิ่งที่เหนือการควบคุมเกิดขึ้นได้จริงหรือ ตอบว่าคุณอย่าไปสนใจเลยครับ ก็คุณไม่เคยนั่งสมาธิขึ้นลึกแล้วคุณจะไปสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นไปทำไม ถึงมีคนบอกว่าเกิดนั่นเกิดนี่ขึ้นคุณก็อย่าไปเชื่อ เพราะคุณไม่เคยเจอเองจะเชื่อได้อย่างไร เออ แล้วคุณจะไปสนใจมันทำไมละ เอาขั้นที่เห็นๆว่าเป็นจริงเหน่งๆตรงหน้านี้ก่อน คือเมื่อวางความคิดได้หมด ความรู้ตัวจะจอดนิ่งอยู่ในความว่าง ซึ่งเป็นที่สงบเย็นและสบาย เอาแค่นี้ก่อน เพราะแค่นี้คุณก็บอกเองว่าคุณยังทำไม่ได้ แล้วจะไปสนใจเรื่องที่ไกลกว่านั้นทำไม

ผมจะตอบคุณแต่ในระดับภาพใหญ่ ขั้นที่ลึกกว่าสมาธิ หมายถึงหลังจากที่จิตนิ่งดีแล้ว ก็คือการ “ปล่อยจิตไปไม่ควบคุม (วิโมจย์ หรือวิโมจะยัง)” คือไม่จมนิ่งดื่มด่ำหรือจดจ่อแล้ว แต่ถอยออกมานั่งมองดูห่างๆ ไม่จดจ่อควบคุมอะไรทั้งสิ้น ดูและเห็นตามที่มันเป็น ณ ตรงนี้เมื่อปล่อย ไม่จดจ่อ ไม่ควบคุม ความคิดในอีกรูปแบบหนึ่งก็จะเริ่มทะยอยโผล่ขึ้นมา คุณต้องตื่นตัวสังเกตมันให้ดี บ้างก็เรียกมันว่าเป็นปัญญาญาณ บ้างก็เรียกว่าเป็นญาณทัศนะ แต่กำพืดของมันก็คือความคิดนั่นแหละ เพียงแต่เป็นความคิดที่คุณจำไม่ได้ว่าคุณเคยรู้เคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า หากคุณไม่สังเกตให้ดี เผลอเข้าไปอยู่ในนั้น ปัญญาญาณก็อาจจะกลายเป็นขี้ดีๆนี่เอง ย้ำอีกทีนะ ปัญญาญาณหรือญาณทัศนะเป็นเพียงกะพี้ของเรื่อง ไม่ใช่แก่นของเรื่อง แก่นของเรื่องคือการปล่อยวางความคิดที่ชงขึ้นมาโดยความเป็นบุคคล (อีโก้) ของเราได้หมด ตรงนั้นต่างหากคือแก่นของเรื่อง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์