Latest

นมวัวและแป้งสาลีกับโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง

เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ       

ดิฉันเป็นคนไทย อาศัยอยู่ที่รัฐเทนเนสซี, อเมริกา ดิฉันติดตามฟังคุณหมอพูดในยูทูป ได้รับความรู้และนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ผลดีมาก ขอบพระคุณหมอที่ให้ความรู้และแนวคิดต่างๆซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการรักษาสุขภาพค่ะ        ดิฉันมีประสบการณ์ที่ทำให้เชื่อว่า autoimmune disease เช่น Hashimoto’s diseaseและArthritisสามารถ ป้องกันและรักษาให้กลับคืนสู่ภาวะปกติได้หากรู้สิ่งกระตุ้นและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นนั้นและมีอาการยังไม่รุนแรงเกินไป       ดิฉันคิดว่าปัจจัยที่ทำให้เกิด autoimmune disease คือ1. Genetic predisposition 2. สิ่งกระตุ้นที่มี molecular mimicry with human antigen induces cross reaction 3. Immune response 4. Stress increases pro inflammatory cytokines 5. Some nutrients exacerbate inflammation ดิฉันเเพ้glutenและdairy TPO Ab >1,300, TSH 1.99, FreeT4 1.38 ผลตรวจนี้ทำหลังจากงดกิน gluten และ dairy 6 เดือน แพทย์โรคต่อมไร้ท่อจะให้ฮอร์โมนไทรอยด์เมื่อมีอาการและ/หรือเมื่อค่าTSH >10 ไม่มีอาการจึงไม่ได้กินยาแพทย์ให้ติดตามค่าTSH  สำหรับarthritisจะมีอาการบวมแดงตามข้อมือเมื่อดื่มนมและกินผลิตภัณฑ์นม จะหายเองเมื่อเลิกกิน หลังจากไม่กินอาหารที่แพ้ไม่มีอาการจึงไม่ได้กินยา    หากความเชื่อของดิฉันเป็นจริง ดิฉันมีโครงการที่จะหากลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อและมีเป้าหมายเดียวกันคือดูแลและช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพเนื่องจากแพ้glutenและมีปัญหา autoimmune disease โดยให้บริการ อาหารที่เหมาะสม ส่งเสริมและสนับสนุนการออกกำลังกาย และฝึกผ่อนคลายความเครียดเพื่อช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดิฉันแนบ Proposal: Gluten Free Independent Senior Living Community ขอความกรุณาคูณหมอช่วยดูโดยเฉพาะ Background ว่าถูกต้องหรือไม่จะได้แก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะเสนอโครงการนี้ค่ะ  ไม่ทราบว่าคุณหมอสนิทกับ Dr. Scott Stoll และพอจะทราบว่าเขาสนใจautoimmune disease ไหมคะ? เท่าที่ทราบเขาอยู่รัฐเทนเนสซี หากเขาคิดจะเปิด Autoimmune Rehabilitation และมองหาที่ดิน หากสนใจบริเวณที่ดิฉันพักซึ่งไม่ไกลจาก Great Smoky Mountains National Park ให้เขาอีเมล์ติดต่อดิฉันได้ (ช่วงที่นอนรพ.เพราะอุบัติเหตุดิฉันถูกเจาะคอทำให้เสียงแปลกไปหากไม่คุ้นเคยกันจะฟังลำบากมากโดยเฉพาะทางโทรศัพท์) ดิฉันมีที่ดินทั้งหมด  91.2 เอเคอร์ ดิฉันจะแบ่งขายให้ ดิฉันจะเก็บไว้บางส่วนเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน

คำถาม: (1) กินยาปฏิชีวนะปริมาณมากและกินบ่อยมีผลต่อmicrobiome–>genetic mutations?–>affect immune function?–>health problem? (2) gluten (gliadin) and dairy (casein) molecular mimicry with tissue transglutaminase–>cross reactivity–>autoimmune Ab to various tissues/organs that have tissue transglutaminase–>Inflammation of the tissues/organs–>autoimmune disease? (3) อายุมากขึ้น ปัจจุบันอายุ 62ปีค่ะ  ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานลดลง และแพ้ง่ายขึ้น?

ขอบพระคุณคุณหมอล่วงหน้าที่จะช่วยอธิบายข้อสงสัยค่ะด้วยความเคารพ

………………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าหมอสันต์รู้จัก Dr.Scott Stoll ไหม ตอบว่ารู้จักครับและเป็นเพื่อนกัน สอนทางยูทูปร่วมกันเป็นบางครั้ง แต่เราคบหากันเพราะต่างก็เป็นแพทย์ที่สนใจการใช้อาหารพืชเป็นหลักมารักษาโรคเหมือนกันจึงคุยกันบ่อย แต่จะให้ถามไถ่เสนอขายที่ดินคงจะผิดสะเป๊คของการคบหากันของนักวิชาชีพกระมังครับ ผมขอไม่ยุ่งเกี่ยวดีกว่า

2. ถามว่าจะทำนิคมคนสูงวัยในรูปแบบ senior living community สำหรับคนที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันทำลายตนเองให้มาอยู่ด้วยกันเรียนรู้แก้ปัญหาสุขภาพไปด้วยกันจะดีไหม ตอบว่าดีแน่ครับถ้ามีลูกค้า เพราะธุรกิจแนวที่คุณว่ามาเป็นธุรกิจในแนวสร้างสรรค์ มันย่อมดีกว่าเอาที่ดินไปทำบ่อนกาสิโนหรือโรงฆ่าสัตว์แน่นอน แต่ธุรกิจทุกชนิดต้องผ่านด่านแรกก่อน นั่นคือคุณต้องมีลูกค้าก่อน เผอิญเรื่องการหาลูกค้านี้หมอสันต์ไม่ถนัดเลยจริงๆจึงช่วยอะไรคุณไม่ได้ แผนธุรกิจที่ส่งมาให้นั้นขอโนคอมเมนต์นะครับ เพราะหากผมซี้ซั้วสนับสนุนแล้วคุณทุ่มสุดตัวทำไปแล้วเจ๊ง ผมก็จะเป็นบาป หิ..หิ

3. ถามว่ากินยาปฏิชีวนะปริมาณมากและกินบ่อยมีผลต่อแบคทีเรียในลำไส้ (microbiome) แล้วทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรหัสพันธุกรรม แล้วมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ จริงไหม ตอบว่าจริงครับ ทั้งหมดนั้นมีหลักฐานวิทยาศาสตร์บ่งชี้ไว้แล้วอย่างชัดเจนแน่นอน

3. ถามว่าโปรตีนในแป้งสาลี (gluten) และในนมวัว (casein) ลักษณะโมเลกุลของมันคล้าย transglutaminase ในเนื้อเยื่อปกติของคน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนตี้บอดี้มาทำลายมันและพลอยทำลายเนื้อเยื่อตัวเองไปด้วย ทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อเหล่านั้นกลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง จริงไหม ตอบว่าทั้งหมดนี้เป็นสมมุติฐานซึ่งวงการแพทย์พยายามจะเชื่อมโยงขึ้นมาจากการพบความจริงในทางคลินิกว่ากลูเต็นก็ดี นมวัวก็ดี มีความสัมพันธ์กับโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองมากกว่าอาหารอื่น กลไกการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองจากอาหารนั้นเป็นที่ยอมรับกันดีแล้วในวงการแพทย์ในกรณีกลูเต็น ว่าในคนที่มีพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมเอื้อให้เกิดเรื่อง จะมีโปรตีนชื่อไกลอาดิน (Gliadin) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลูเต็น ไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด T-cell แล้วทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเนื้อเยื่อลำไส้ของตัวเองกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังจนลำไส้ดูดซึมวิตามินและธาตุอาหารไม่ได้และล้มป่วยด้วยโรคซึ่งเรียกว่า ciliac disease ซึ่งเป็นโรคที่เกิดได้กับบางคนเท่านั้น ไม่ใช่กับทุกคน ดังนั้นท่านผู้อ่านทั่วไปอย่าไปตาเหลือกไม่กล้ากินแป้งสาลี

ส่วนกลไกการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองเมื่อดื่มนมวัวนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจริงมีรายละเอียดอย่างไร เรื่องนี้วงการแพทย์กระแสหลักยังตกลงกันไม่ได้ เพียงแค่ยอมรับสถิติตามความเป็นจริงว่าการดื่มนมวัวตั้งแต่อายุน้อยทำให้เด็กโตขึ้นแล้วจะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ซึ่งเป็นโรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อตนเองเช่นกัน ส่วนข้อที่ว่าโมเลกุลของนมวัวและเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีโมเลกุลที่หน้าตาเหมือน tissue transglutaminase ของคนจึงเป็นตัวแหย่ให้ร่างกายคนสร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายเนื้อเยื่อตัวเองนั้น ในชั้นนี้ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการแพทย์ ยังต้องถกเถียงกันระดับปากฉีกถึงในหูไปอีกนาน เพราะมันเป็นเรื่องที่จะกระเทือนถึงหม้อข้าวของคนจำนวนมากที่ทำมาหากินอยู่กับนมและเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมไปถึงแพทย์หลายคนที่ชอบกินสะเต๊กด้วย ฮิ ฮิ

4. ถามว่าอายุมากขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานลดลงจริงไหม ตอบว่าจริงครับ เพราะเซลในระบบภูมิคุ้มกันลดจำนวนลงและขี้เกียจมากกว่าเดิม ส่วนการมีอายุมากขึ้นจะเป็นสาเหตุให้แพ้ง่ายขึ้นไหม อันนี้ตอบว่าอายุมากขึ้นแล้วระบบภูมิคุ้มกันชอบตีรวนมากขึ้นอาจจะตรงความจริงกว่า จะตีรวนแบบไหนนั้นขึ้นกับปัจจัยประกอบในแต่ละคนครับ

5. ข้อนี้ผมแถมให้สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเช่นข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรค SLE โรคเบาหวานประเภทที่ 1 โรคผิวหนังชนิด psoriasis เป็นต้น นอกเหนือจากการรักษาปกติที่แพทย์แผนปัจจุบันให้แล้ว ผมแนะนำให้ทดลองเปลี่ยนอาหารไปกินอาหารแบบวีแกนคือไม่มีเนื้อสัตว์เลยควบคู่ไปด้วยสัก 3-6 เดือน หากอาการของท่านดีขึ้นจนหยุดยาได้หมดก็แสดงว่าการปรับอาหารนี้ถูกโฉลกกับโรคของท่านแน่นอน มีงานวิจัยเรื่องนี้รายงานไว้ในวารสารการแพทย์บ้างพอควร ตัวผมเองก็เคยแนะนำคนป่วยหลายท่านให้ทดลองทำเช่นนี้แล้วพบว่าได้ผลดีเกินความคาดหมาย ถ้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งท่านแอบทดลองดูก็ไม่เสียอะไรนี่ครับ 3-6 เดือนไม่เวอร์คก็กลับมากินแบบเดิมใหม่ก็ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์