Latest

Existence สิ่งที่เหลืออยู่เมื่อพ้นจากร่างกายนี้และความคิดนี้ไปแล้ว

คุณหมอสันต์ที่นับถือ

ผมได้ดูวิดิโอคลิปของ … เนื้อหาดีมาก ผมชื่นชมว่าท่านเป็นพระแท้ที่แม่นยำในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ผมติดใจอยู่อย่างหนึ่งว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยขัณฑ์ห้า เมื่อแยกแยะออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ หายหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรให้ยึดถือเป็นตัวตนได้ แต่ผมกังขาว่าเมื่อไม่เหลืออะไรแล้วใครเป็นผู้ไปรับรู้นิพพานละครับ (ถ้าได้ปฏิบัติจนลุนิพพาน) แล้วถ้าชีวิตดับ ขัณฑ์ห้าแยกกันไปหมดไม่เหลืออะไร แล้วจะไปพยายามบรรลุโสดา สกิทา อนาคา กันไปทำไมละครับ ตรงนี้ไม่มีใครตอบผมได้ ผมพยายามติดต่อจนถึงตัวหลวงพ่อ … ท่านก็ตอบผมไม่ได้ถนัดปาก

รบกวนคุณหมอสันต์ด้วยครับ

……………………………………………………………….

ตอบครับ

หิ..หิ คุณถามอะไรมา ขออำไพนะ..ผมไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ โดยเฉพาะที่คุณพูดถึงสกิทา อานาคอนด้า ผมไม่เก็ทเลยแม้แต่น้อยว่ามันคืออะไร ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมเข้าใจคำถามของคุณถูกต้องหรือเปล่า ขอผมถอดความ (paraphrase) คำถามของคุณขึ้นมาใหม่ตามที่ผมเข้าใจนะ คือผมเข้าใจว่าคุณถามว่า

“ชีวิตเรานี้ เมื่อพ้นไปจากส่วนต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นชีวิต อันได้แก่กายและใจนี้แล้ว นอกจากนี้ มันจะมีอะไรเหลืออยู่ไหม ถ้ามีเหลืออยู่ มันเป็นอะไร ถ้าไม่มีอะไรเหลือเราจะไปเดือดร้อนปฏิบัติธรรมทำไม”

สมมุติว่าคุณถามอย่างนี้นะ หากผมถอดผิดก็ขออำไพ

เอ้า คราวนี้มาตอบคุณ

1.. ถามว่าพ้นจากร่างกายและความคิดจิตใจนี้ไปแล้ว จะมีอะไรเหลืออยู่ไหม ตอบว่ามีสิครับ ฝรั่งเขาเรียกว่า existence แปลว่า “สิ่งที่เหลืออยู่” หิ หิ

ทุกอย่าง ปลายทางของมันต้องมีสิ่งที่เหลืออยู่ ยกตัวอย่างโต๊ะที่ผมวางคอมตัวนี้ เมื่อมันเน่าเปื่อยผุพังไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็กระจัดกระจายไปเป็นโมเลกุล เป็นอะตอม ซึ่งประกอบขึ้นมาจากคว้าก ซึ่งกลวงโบ๋ไม่มีอะไรนอกจากพลังงานวิ่งวนไปมา ดังนั้นสิ่งที่จะเหลืออยู่ของโต๊ะตัวนี้ท้ายที่สุดคือความว่างเปล่าซึ่งมีพลังงานวิ่งวนไปมา

ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เดิมนอกห้องผมเงียบ ตอนนี้มีเสียงรถยนต์ครางหึ่งขึ้นมาขณะผมตอบคำถามคุณอยู่นี้ มันดังอยู่ไม่นาน แล้วมันก็จะดับหายไปในความเงียบ สิ่งที่จะเหลืออยู่ของเสียงรถก็คือความเงียบที่มันโผล่ขึ้นมาแต่เดิมนั่นแหละ

กลับมาพูดถึงสิ่งที่เหลืออยู่เมื่อพ้นไปจากร่างกายและความคิด (body-mind) ในโลกนี้มันมีคำแนะนำให้คุณเลือกอยู่สองแบบนะ

แบบที่ 1. คุณไม่ต้องไปสนใจดอกว่าหมดจากร่างกายและความคิดแล้วจะเหลืออะไร ให้คุณสนใจเพียงแค่ว่าที่คุณหลงผูกเอาร่างกายและความคิดนี้ไว้ด้วยกันแล้วอุปโลกน์ขึ้นมายึดถือเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคล (อัตตา) นั้นแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไร (อนัตตา) แยกส่วนออกไปแล้วก็บ๋อแบ๋ คุณรู้คุณเข้าใจแค่นี้คุณก็พ้นทุกข์ได้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจว่าหมดร่างกายและความคิดนี้แล้วมันจะเหลืออะไร ถ้าคุณยังอยากตอบตัวเองให้ได้ก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็แล้วกันว่าสิ่งที่จะเหลืออยู่ก็คืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ร่างกายและไม่ใช่ความคิดนั่นแหละ

แบบที่ 2. คือผู้ทำตัวเป็นครูจะพูดจะอธิบายถึงสิ่งที่จะเหลืออยู่นี้เป็นคุ้งเป็นแคว ว่ามันมีสองส่วน คือส่วนที่ใกล้ตัว (อาตมัน) และส่วนที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเป็นพื้นฐานของทุกชีวิต (ปรมาตมัน) แต่ว่าคุณอย่าไปสนใจชื่อเลย เพราะมันอยู่พ้นการรับรู้ด้วยอายตนะ มันจะบอกเป็นภาษาได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่ง ถึงพยายามที่จะบอกอย่างที่ผมกำลังพยายามอยู่นี้ มันก็บอกได้แค่เลาๆ ใกล้ๆ เคียงๆ ข้างๆ คูๆ ซึ่งคนฟังก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แย่ยิ่งกว่านั้นคือทำให้คนฟังเข้าใจผิดไปเลย ตัวผมเองตั้งชื่อเรียกสิ่งที่จะเหลืออยู่เมื่อพ้นไปจากร่างกายและความคิดนี้ว่า “ความรู้ตัว” เพื่อความง่ายในการสื่อสารของผมเอง มันไม่ได้เป็นอะไรที่พิศดาร คือมันเป็นแค่ความสามารถรับรู้ได้ ถ้าจะอธิบายให้กระชับที่สุด มันมีเอกลักษณ์สี่อย่างคือ (1) มันมีความสามารถรับรู้อะไรได้ (2) มันสงบเย็น มันเพราะไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวดองกับใครที่ไหนทั้งสิ้นแม้แต่กับ “ตัวเรา” ที่เป็นบุคคลคนนี้ก็ไม่มี (3) มันมีวิสัยทัศน์กว้าง เพราะมุมมองจากตรงนี้ไม่ได้ถูกบดบังด้วยอัตตาที่ทำตัวเป็นกรอบความคิด (4) ข้อนี้อาจเข้าใจยากแต่ผมขอพูดไว้ ว่ามันเป็นตัวเชื่อมโยงทุกชีวิตเข้าด้วยกันอย่างเนียนๆ พูดง่ายๆว่าเมื่อพ้นไปจากอัตตาแล้ว เมตตาธรรมก็กลายเป็นธรรมชาติหรือเป็นอัตโนมัติ

คำแนะนำทั้งสองแบบนี้คุณชอบแบบไหนก็เลือกเอา เอาแบบที่ชอบ ที่ชอบ

2.. ถามว่าถ้าหากไม่มีอะไรเหลืออยู่ที่เชื่อมโยงกับเรา ณ วันนี้ได้อย่างที่หลวงพ่อผู้เจนจบปริยัติท่านเทศน์แล้วเราจะเดือดร้อนปฏิบัติธรรมกันไปทำไม

ตอบว่าอ้าว..ว แล้วตัวคุณปฏิบัติธรรมทำไมละครับ ตามความเข้าใจของผมคนปฏิบัติธรรมก็เพราะมีความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้านี้ ทุกข์ที่เดี๋ยวนี้เลย ทำอย่างไรทุกข์ก็ไม่หาย ก็จึงหันมาปฏิบัติธรรม ถ้าประสบความสำเร็จก็คือทำให้ทุกข์ที่อยู่ตรงหน้านี้หายไปได้..จบข่าว

ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่ทุกข์ที่เดี๋ยวนี้ดอก แค่กังวลว่าตายแล้วไม่รู้จะไปไหนเเท่านั้นเอง อ้าว..ว นั่นก็เป็นทุกข์ที่เดี๋ยวนี้เหมือนกันนะ คือคุณกังวลขึ้นมาที่เดี๋ยวนี้ว่าตายแล้วจะไม่มีที่ไป อย่างนี้คุณก็ต้องปฏิบัติธรรม เพื่อดับทุกข์กังวลที่เกิดที่เดี๋ยวนี้นะครับไม่ใช่เพื่อตายแล้วจะได้ไปไหน

ผมแนะนำว่าคุณอย่าไปสนใจตีความคำที่หลวงพ่อเทศน์ว่าพ้นจากขันธ์ 5 แล้วไม่เหลืออะไรว่าจริงหรือไม่จริงเลย ถ้าเดี๋ยวนี้คุณคิดกังวลถึงชีวิตหลังตาย คุณก็แค่ทิ้งความคิดกังวลนั้นไปเสีย คุณก็หายทุกข์แล้วทันที โดยไม่จำเป็นต้องไปรู้ว่าพ้นจากร่างกายและความคิดนี้ไปแล้วมีอะไรเหลืออยู่อีกไหม เหลืออยู่จริงไหม ฯลฯ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อคุณวางความคิดได้จริงแล้ว คุณก็จะรู้เองว่ามีอะไรเหลืออยู่หรือเปล่า

เอาเป็นว่าถ้าคุณทุกข์คุณก็ปฏิบัติธรรมคือวางความคิดที่ทำให้คุณทุกข์เสีย ถ้าคุณไม่ทุกข์คุณก็ไม่ต้องปฏิบัติธรรม ผมรับประกันว่าตำรวจไม่จับคุณหรอก ในกรณีที่คุณไม่ทุกข์ คนไม่ทุกข์ย่อมจะมีพลังสร้างสรรค์แยะ คุณก็เอาพลังสร้างสรรค์นั้นไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับชีวิตอื่นหรือกับโลกสิครับ แทนที่จะมานั่งพะวงสงสัยแบบตรองไม่ตกสักทีว่าพ้นจากกายและใจนี้ไปแล้วยังมีอะไรเหลืออีกหรือเปล่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์