Latest

แฟนบอกเลิก อ้างว่าเพราะทนนิสัยแย่ๆของหนูไม่ไหว

(ภาพวันนี้ : ดอกชมมะนาด กลิ่นหอมเหมือนข้าว)

เรียน คุณหมอที่เคารพรัก

หนูมีปัญหาเรื่องความรักค่ะ <ไม่ได้แต่งค่ะ คบเป็นแฟนกันมา 12 ปี> แฟนขอบอกเลิกด้วยเหตุทนนิสัยแย่ๆของหนูไม่ไหว แต่ลึกๆหนูรู้แก่ใจว่า เขาหมดรักหนูแล้ว ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่หนูแล้ว วันนี้เขากล้าเดินออกไปส่วนหนึ่งเพราะเขามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ติดราชการ เขาเริ่มมีสังคม แต่ปัญหาคือเขายังขอเป็นเพื่อนกับเรา ยังขอมาสวัสดีทุกเทศกาลสำคัญกับคุณพ่อคุณแม่หนู และอยากให้การเลิกลาและลดสถานะเป็นเพื่อน ให้รู้แค่เราสองคน

ในฐานะที่หนูเป็นฝ่ายถูกบอกเลิก หนูตัดสินใจไม่ถูกค่ะว่าจะตัดเขาออกไปจากชีวิตหรือเป็นเพื่อนกับเขาดี สำหรับเวลานี้สิ่งที่เขาทำดูเห็นแก่ตัว เขาเหมือนสร้างโอกาสให้ตัวเองได้พบสิ่งใหม่ๆ และจับหนูวางในสถานะเพื่อน

ขอบพระคุณค่ะคุณหมอ

ส่งจาก iPhone ของฉัน

……………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่ามีความรักกับแฟน อยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานมา 12 ปี แล้วอยู่ๆเขามาบอกเลิก นี่เป็นความเห็นแก่ตัวใช่ไหม ตอบว่าใช่อยู่แล้วครับ เพราะสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ระหว่างคนสองเพศในวัยเจริญพันธ์นั้น ไม่ว่าของคุณหรือของแฟนคุณ มันล้วนมีแรงขับมาจากสามทางคือ

(1) สัญชาติญาณหรือ instinct โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความอยากมีเพศสัมพันธ์

(2) ความคิดอ่านที่ชงขึ้นมาโดยอัตตา หรือ intellect ซึ่งชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าอัตตา ก็คือเพื่อตัวกูล้วนๆ

(3) เมตตาธรรม หรือ compassion

ทั้งสามแรงขับนี้ผสมคลุกเคล้ากันไป อย่างนั้นมากบ้างอย่างนี้น้อยบ้าง รูปแบบที่เป็นพิมพ์นิยมคือสัญชาติญาณทางเพศเป็นแรงขับสูงสุด การปกป้องเชิดชูอัตตาตัวเองมีความแรงรองลงมา เมตตาธรรมเป็นกระสายเล็กๆพอไม่ให้รู้สึกผิดที่จะตามแรงขับสองตัวแรกไป โดยรวบเข้าด้วยกันแล้วเรียกชื่อให้น่านับถือว่าเป็นการ “ตกหลุมรัก”

2.. ถามว่าเขาแสดงความเห็นแก่ตัวโดยการลดสถานะการเป็นแฟนเราลงมาเป็นเพื่อน เราควรจะถีบเขาออกไปจากชีวิตเราอย่างถาวรเลยดีไหม ตอบว่าคุณก็ต้องวิเคราะห์แรงขับทั้งสามไม่ว่าจะเป็นสัญชาติญาณ อัตตา และเมตตา ของฝ่ายคุณดูสิครับ อ่านตามอารมณ์ที่คุณเขียนจดหมายมา ข้อเมตตาน่าจะตัดทิ้งได้ เหลือพิจารณาแค่สองข้อคือสัญชาติญาณและอัตตา ว่าจะตัดสินใจแนวไหนจึงจะสบความต้องการสองข้อของคุณมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณคิดว่าเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญ การตัดสินใจถีบเขาทิ้งไปแล้วตั้งหน้าตั้งตาหา ผ. ใหม่ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพราะอย่างไรเสีย ผ.เก่าเขาก็ไม่เอาเราแล้ว แต่ถ้าคุณคิดว่าอัตตาของคุณที่ประเมินจากสายตาคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องรักษาหน้าของคุณในสังคมเอาไว้ การหยวนเป็นเพื่อนกันโดยให้คนอื่นเข้าใจว่ายังเป็นแฟนกันอยู่ก็อาจเป็นทางออกที่ลงตัวดี เป็นต้น

ในมุมมองของคนที่อยู่ดูโลกมา 70 ปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน สารัตถะที่แท้จริงของมันเป็นไปตามขี้ปากของคนโบราณว่าไว้ ว่า

“..ไม้ท่อนหนึ่งลอยมาพบไม้อีกท่อนหนึ่งกลางมหาสมุทรแล้วแยกจากกันไปฉันใด

การมาพบกันของผู้เกิดมาก็เป็นฉันนั้น..”

ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ ให้คุณทำความเข้าใจโฉลกนี้ให้ถ่องแท้ คุณจึงจะมีความสัมพันธ์กับใครๆก็ได้โดยที่ไม่ต้องมาอกไหม้ไส้ขมซ้ำซากในภายหลังอีก

3.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ คือคนเราเกิดมาล้วนปรารถนาความสุข บางทีเราก็เรียกเป้าหมายของการเกิดมานี้ว่าความสำเร็จ จะเรียกว่าความสุขหรือความสำเร็จก็ตาม คนเรามักเผลอเอามันไปผูกไว้กับสิ่งนอกตัวเรา หมายถึงคน สัตว์ สิ่งของ ลมฟ้าอากาศข้างนอกที่ผ่านเข้ามากระทบเราทางอายตนะทั้งหก การเอาความสุขหรือความสำเร็จไปผูกไว้กับสิ่งภายนอก มันเปรียบเสมือนการสร้างบริษัทที่เจ๊งตั้งแต่เริ่มเขียนวิสัยทัศน์แล้ว เพราะสิ่งภายนอกนั้นเราควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ทำไมเราไม่ทิ้งการวิ่งตามหาหรือพยายามควบคุมบังคับสิ่งภายนอกเสีย หันกลับเข้ามาข้างในตัว ข้างในมันสงบเย็นของมันอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีความคิดที่อัตตาของเราชงขึ้นมามาคอยจี้จิกตำหนิต่อว่าหรือดูถูกตัวเอง ดังนั้นให้คุณวางความคิดที่ชงขึ้นมาโดยอัตตาเสียให้หมด ความคิดของเรานี่มันอยู่ในวิสัยที่เราคุมได้ มีชีวิตอยู่กับเดี๋ยวนี้ ยอมรับอะไรทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ใช้ชีวิตไปทีละขณะ ทีละลมหายใจ แล้วคุณก็จะพบความสงบเย็น เมื่อความสงบเย็นเกิดขึ้น พลังสร้างสรรค์เพื่อสิ่งอื่นเพื่อชีวิตอื่นมันจะมาไล่ที่ความคิดสงสารตำหนิหรือสมเพทตัวเองได้เอง แล้วชีวิตของคุณก็จะมีคุณค่าเต็มศักยภาพที่คุณเกิดมามี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

(ปล. หมอสันต์จะหยุดตอบคำถามทางบล็อกไปหนึ่งเดือน เพราะจะลากิจไปเดินป่าที่ ตปท.)