ปรึกษาหมอ

แป๊บเดียว..แต่แทบเปลี่ยนชีวิตไปเลย

เรียนคุณหมอ 
    ผมเพิ่งเกษียณมาได้ปีกว่า ตัดสินใจที่จะไม่ทำงานต่อ เพราะมีเงินมีทองพอใช้ไม่ขัดสนแล้ว อยากจะใช้วันเวลาเกษียณแบบอยู่กับบ้านสบายๆบ้าง แต่ว่าไม่มีคนใช้นะครับ ไม่ใช่ว่าขี้เหนียวเงิน แต่คนใช้หายากและเปลี่ยนบ่อยมากจนผมกับภรรยาตกลงกันว่าอยู่กันสองตายายทำอะไรเองเหอะ ปีกว่าที่ผ่านมานี้ผมไม่เคยว่างเลย เพราะผมมีโปรเจ็คซ่อมโน่นซ่อมนี่ที่บ้านตลอดปี สัปดาห์ก่อนผมเตรียมผนังบ้านส่วนที่เป็นไม้เพื่อทาสี ซื้อสีไอซีไอ.มาเตรียมไว้แล้วแหละ ถือว่างานทาสีเดินหน้าไปแล้ว 50% เหลือการเตรียมหน้างานที่โรงรถอีกเล็กน้อย ถือว่าเป็นโปรเจ็คเล็กๆที่ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง

     เช้าวันที่ 15 เมษา ผมเอาบันไดอลูมิเนียมมากางที่โรงรถ เอากล่องเครื่องมือออกมาวาง แล้วก็ลงมือใช้เลื่อยลูกหมูตัดแผ่นไม้อัดเก่าที่เปียกน้ำออกเตรียมเอาไม้อัดใหม่เข้าไปแทน ตัดแล้ววัด วัดแล้วตัด ปีนขึ้นปีนลงบันไดหลายรอบกว่าจะตัดได้พอดี กำลังจะจบตะปูตัวสุดท้ายอยู่แล้ว พอดีได้ยินเสียงรถเก็บขยะเข้ามาทางปากซอย ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเช้านี้ลืมเอาถังขยะออกไปตั้งหน้าบ้าน จึงถอยหลังลงบันไดมาเพื่อไปเอาถังขยะ นั่นแหละ เป็นเรื่องเลย

     ผมนึกว่าผมลงมาถึงพื้นแล้วนา แต่ความจริงแล้วมันยังขาดอีกขั้นหนึ่ง แคว่ก เป็นเสียงผมหล่นลงพื้นเท่าที่ตัวผมได้ยิน เหมือนเสียงกระดาษฉีก ผมไม่รู้ตัวเองเลยว่าลงมานอนบนพื้นได้อย่างไร ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมถึงพลาดท่าเสียทีล้มลงได้ง่ายถึงเพียงนี้ แต่ภรรยาผมเล่าว่าเสียงดังสนั่นเสทือนจนเธอต้องทิ้งครัววิ่งออกมาดู เธอเห็นผมนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นซีเมนต์ของโรงรถจึงถามผมว่าเป็นอะไรไหม ผมตอบว่าผมลุกไม่ได้ ขยับแขนไม่ไป เหมือนใครเอากาวมาติดตัวผมกับซิเมนต์ไว้ ต่อจากนั้นเท่าที่ผมจำได้คือเพื่อนบ้านสองคนวิ่งมาดู สภาพผมไม่น่าดูเท่าไหร กระดูกแขนเหมือนจะผิดที่ผิดทางเสียจนไม่รู้ว่าข้อศอกอยู่ที่ไหน เพื่อนบ้านจะเข้ามายกผมห้ามไว้ เพราะเคยได้ยินว่าหากกระดูกสันหลังบาดเจ็บแล้วยกไม่ระมัดระวังจะกลายเป็นอัมพาต พักใหญ่รถพยาบาลที่เพื่อนบ้านผมเรียกไปก็มา พวกเขาเอาเปลเข้ามา แยกเปลเป็นสองซีกแล้วสอดเข้ามาทางซ้ายทางขวาแล้วมาล็อกกันตรงกลาง เอาเข็มขัดตราสังข์รัดผมไว้กับเปล ทุลักทุเลมากเพราะขยับนิดผมก็โอ๊ย พอได้ขึ้นไปอยู่บนรถ ผมรู้สึกว่ารถพยาบาลตกหลุมทุกหลุมที่ซอยเข้าบ้านผมมี 

     ไปถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล… หมอพยาบาลวิ่งกันขวักไขว่ แต่ยังไม่มีเวลามาดูผมหรอก ไปดูคนอื่นอยู่ทั้งๆที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่ก็ไม่วายแน่น มีพนักงานมาเอ็กซเรย์ เอ็กซ์แล้วก็เอ็กซ์อีก เจาะเลือดสามรอบ ไม่รู้เจาะอะไรบ้าง แล้วหมอก็ทยอยกันเข้ามา คนสุดท้ายเป็นหมอกระดูก บอกว่าผมจะต้องผ่าตัดด่วนเพื่อแก้ปัญหากระดูกซี่โครงหักและเลือดออกในช่องอก และจะแก้ไขแขนหักไปด้วย
พวกหมอผ่าตัดผมนานสองชั่วโมง แต่ก็เอาแขนผมกลับเข้าต่อที่เก่าได้สำเร็จ มีแผ่นเหล็ก และนอตยึดอีกเจ็ดตัว ผมไม่แน่ใจว่ามีแหวนเกลียวด้วยหรือเปล่า 

     หลังจากผ่าตัด ผมนอนโรงพยาบาลหนึ่งเดือน พยายามหัดเดิน และหัดรับมือกับความปวดอย่างเหลือร้ายที่แขนและที่ซี่โครงซึ่งหมอไม่ได้ทำอะไรให้เลย แต่ละครั้งที่นักกายภาพมาควักผมขึ้นจากเตียงความปวดที่กระดูกซี่โครงมันเหลือจะพรรณนา อ้อ ผมลืมบอกไปว่ามีกระดูกหัวเข่าแตกและเอ็นไขว้กระดูกฉีกด้วย อย่างดีที่ผมได้ก็คือยาแก้ปวดกินไม่กี่เม็ด ที่เหลือผมต้องดูดซับความเจ็บปวดไว้เอง

      ออกจากโรงพยาบาลแล้วผมยังต้องไปกายภาพที่รพ.อีกสองเดือน แต่ละวันที่ไปกายภาพ มันปวดขาดใจ แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆแข็งแรงขึ้น 

     การเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้ชีวิตผมแทกจะพลิกไปเลย ภรรยาผมน้ำหนักลดไป 6 กก. จากเดิมที่เป็นคนรูปร่างผอมอยู่แล้ว เธอต้องทำทุกอย่างแทนผม บางอย่างก็ต้องทำให้ผม ความเครียดที่เข้ามาเยือนชีวิตเราครั้งนี้มันสุดจะบรรยาย

     ผมเขียนมาหาหมอเพราะอยากจะให้เรื่องของผมเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้เกษียณที่ขยันขันแข็งทั้งหลาย ว่าเรื่องร้ายๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผมเผลอสติลืมตัวไปแป๊บเดียว ไม่น่าเชื่อว่าการคลาดกับสติของตัวเองเพียงช่วงแป๊บสั้นจะทำความเสียหายให้ชีวิตได้ถึงเพียงนี้ นี่ผมยังดีนะที่เอาชีวิตรอดมาได้แม้ว่าจะหมดไปล้านกว่าบาท ผมเชื่อว่าคนเกษียณอีกมากที่ล้มลงพื้นแล้วไม่มีโอกาสได้กลับออกมาจากโรงพยาบาลอีกเลย

……………………………….

ตอบครับ

     ขอบคุณมาก ท่านเล่าเรื่องได้ชัดเจนเห็นภาพจนผมไม่ต้องย้ำอีก

     แต่ถึงแม้จะรู้ว่าการทรงตัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ ผู้เกษียณจำนวนมากก็ยังไม่รู้จักการออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว (balance exercise) ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว จะขอเอามาให้อ่านตรงนี้อีกครั้ง เผื่อผู้สูงอายุทั่วไปที่เป็นแฟนบล็อกนี้จะเอาไปหัดทำเอง เพื่อป้องกันการลื่นตกหกล้มของตัวเอง ท่าออกกำลังกายเหล่านี้ผมใช้สอนผู้ป่วยสูงอายุของผมอยู่เป็นประจำ การออกกำลังกายเพื่อเสริมการทรงตัว มีเป้าหมายสุดท้ายที่การลดอุบัติการณ์ลื่นตกหกล้มของผู้สูงอายุ เอากันตั้งแต่หลักพื้นฐานเลยนะ

     ผู้สูงอายุมีปัจจัยที่ทำให้ลื่นตกหกล้มง่าย แปดอย่าง ได้แก่

(1) ใจลอย
(2) สายตาไม่ดี
(3) กล้ามเนื้อตะโพกและขาไม่แข็งแรง
(4) ท่าร่างไม่ตั้งตรง
(5) เท้าระพื้น (ยกเท้าไม่ขึ้น)
(6) ปฏิกิริยาสนองตอบช้าต่อสิ่งเร้าช้า
(7) กินยาที่ทำให้หกล้มง่าย
(8) ความดันเลือดตกขณะเปลี่ยนท่าร่าง (ซึ่งมักเป็นผลจากยา)

     องค์ประกอบของการทรงตัวของคนเรามีห้าอย่าง คือ

(1) สติ
(2) กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อท่อนล่าง
(3)  กระดูกและข้อ โดยเฉพาะข้อเท้า เข่า และสะโพก
(4) สายตา
(5) อวัยวะคุมการทรงตัว ซึ่งอยู่ในหูชั้นใน

      เมื่ออายุมากขึ้น ผู้สูงอายุชอบจำกัดท่าร่างและการเคลื่อนไหวของตนมาอยู่ในท่าที่ตนเองมั่นใจในความปลอดภัยมากที่สุด คือท่ายืนกางขานิดๆหลังค่อมหน่อยๆ เวลาเดินก็เจี๋ยมเจี้ยมค่อยๆก้าวขาข้างละทีละครึ่งก้าว ซึ่งนอกจากจะไม่เท่แล้ว การใช้ท่าร่างแบบนี้ทำให้สมองเสียโอกาสได้ฝึกทำเรื่องที่ท้าทาย จึงมีผลให้ความสามารถในการทรงตัวถดถอย การออกกำลังกายแบบฝึกหัดการทรงตัว (balance exercise) เป็นการใช้ท่าร่างและการเคลื่อนไหวที่บังคับและท้าทายสมองให้ใช้องค์ประกอบทั้งห้าสวนพร้อมกัน ทั้งสติ หูชั้นใน สายตา กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ

โดยมี หลักสำคัญสามประการ คือ

(1) ต้องพยายามใช้ท่าและการเคลื่อนไหวที่ท้าทายสมองมากๆ
(2) ต้องฝึกบ่อยๆ ฝึกทุกวัน วันละหลายชั่วโมง
(3) ต้องฝึกทุกที่ทุกเวลา ท่าต่างๆที่ผมให้ไว้นี้เป็นเพียงท่าตัวอย่าง ท่านผู้อ่านสามารถนำไปดัดแปลงเพิ่มเติมให้เหมาะกับตัวเองได้ ในการฝึกถ้ามีรองเท้าเต้นรำพื้นหนังจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีก็ใช้รองเท้าอะไรก็ได้

     ท่าออกกำลังกายเพื่อเสริมการทรงตัว

    ท่าที่ 1. One leg stand ยืนขาเดียว วิธีทำก็คือยืนสองขาชิดกันก่อน แล้วงอเข่ายกขาขึ้นยืนขาเดียว ทำทีละข้าง

     ท่าที่ 2. Eye tracking กลอกตาตามหัวแม่มือ วิธีทำคือยืนตั้งศีรษะตรงนิ่ง ยื่นมือออกไปให้ไกลสุดตัว ยกหัวแม่มือขึ้น แล้วเคลื่อนมือไปทางซ้ายจนสุด ขณะเคลื่อนมือไปให้กลอกตามองตามหัวแม่มือไป โดยศีรษะยังหันหน้าตรงไปข้างหน้าไม่หันไปตามหัวแม่มือ แล้วก็เคลื่อนมือไปทางขวาจนสุดและกลอกตาตาม ทำซ้ำหลายๆครั้ง

     ท่าที่ 3. Clock reach เข็มนาฬิกา วิธีทำคือยืนตรงเสมือนยืนอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นเป็นยืนขาเดียว แล้วกางแขนสองข้างเหยียดเสมอไหล่ออกไปให้สุดทั้งทางซ้ายและขวา ตามองตรง แล้วค่อยๆหมุนตัวและแขนแต่ไม่ศีรษะและคออยู่นิ่ง ให้แขนซ้ายชี้ไปที่ 12.00 น. แขนขวาชี้ไปที่ 6.00 น. แล้วหมุนใหม่ให้แขนขวาชี้ไปที่ 12.00 น. แขนซ้ายชี้ไปที่ 6.00 น. บ้าง แล้วหมุนโดยชี้แขนไปที่ตำแหน่งต่างๆบนหน้าปัดตามเวลาที่สมมุติขึ้น แล้วสลับขา

     ท่าที่ 4. Staggered stance ยืนต่อเท้าบนเส้นตรง วิธีทำคือยืนตรงอยู่บนเส้นตรงสมมุติเส้นเดียวที่ลากจากหน้าไปหลัง บนขอนไม้หรือไม้กระดานแผ่นเดียว ให้หัวแม่เท้าซ้ายไปต่ออยู่หลังส้นเท้าขวา แล้วสลับขา

    ท่าที่ 5. Heal to toe เดินต่อเท้าบนเส้นตรง วิธีทำคือทำท่ายืนต่อเท้าบนเส้นตรง บนขอนไม้หรือไม้กระดานแผ่นเดียว กางมือออก มองไปข้างหน้า แล้วเดินแบบเอาส้นเท้าซ้ายย้ายไปต่อหน้าหัวแม่เท้าขวา ทำเช่นนี้สลับข้างกันไป จนเดินไปสุดขอนไม้หรือแผ่นไม้กระดาน แล้วเดินถอยหลังกลับจนสุดขอนไม้

    ท่าที่ 6. Just walk เดินธรรมดา วิธีทำคือยืนบนขอนไม้ ตัวตรง เอาถ้วยกาแฟทูนไว้บนหัว มองไปข้างหน้า แล้วเดินไปบนขอนไม้แบบเดินแกว่งแขนธรรมดา มีสติ รู้ตัวว่ากำลังก้าวขาไหน กำลังหายใจเข้าหรือออก

     ท่าที่ 7. Knee marching เดินแถวทหาร วิธีทำคือ เดินสวนสนามบนขอนไม้ เวลาเดินยกเข่าสูงเสมอข้อตะโพก แกว่งแขนสูงเสมอไหล่ เดินไปจนสุดขอนไม้

     ท่าที่ 8. Single limb with arm เดินแถวแบบทหารใหม่ วิธีทำคือขึ้นไปยืนบนขอนไม้แบบยืนต่อเท้าบนเส้นตรง ยืนบนเท้าซ้ายก่อน ยืดตัวตรง ตามองไปข้างหน้า แล้วยกมือขวาและเข่าขวาขึ้นแบบทหารจะเดินแถวสวนสนามแต่ยกมือผิดข้าง เดินแบบนี้ไปบนของไม้สลับเท้าซ้ายขวาจนสิ้นสุดขอนไม้

     ท่าที่ 9. Grapevine เดินไขว้ขาไปทางข้าง วิธีทำคือยืนบนขอนไม้ ยืนตรงยืดหน้าอก ยืดศีรษะขึ้น หันข้างให้กับแนวขอน แล้วเดินไปทางซ้ายโดยเอาเท้าขวาไขว้ไปทางด้านหลังของเท้าซ้าย เดินแบบนี้ไปจนสุดขอนไม้ แล้วเดินกลับ

     ท่าที่ 10. Body circle ท่าขี้เมา วิธีทำคือยืนบนขอนไม้หรือบนพื้น กางขา แล้วโยกตัววนเป็นวงกลม โยกวนไปแล้ววนมาแบบคนเมาเหล้า ลองพยายามแกล้งจะล้มแล้วพยายามประคองตัวเองไม่ให้ล้ม

     ท่าที่ 11. Dynamic walking เดินและเหลียว วิธีทำคือเดินบนขอนไม้ ตั้งศีรษะตรง มองไปข้างหน้า แล้วกวาดสายตามองจากหัวไหล่ซ้ายไปจนถึงหัวไหล่ขวา แล้วกวาดสายตากลับ โดยขณะกวาดสายตาให้เดินไปด้วยโดยไม่ให้เสียจังหวะการเดิน หรืออาจจะถือหนังสืออ่านขณะเดินไปด้วย

     ท่าที่ 12. Stepping ก้าวข้าม วิธีทำคือเดินแบบยกเข่าสูงเพื่อก้าวข้ามตอไม้ที่วางไว้เป็นช่วงๆ โดยไม่ให้เสียจังหวะการเดิน

     ท่าที่ 13. Balancing wand เลี้ยงกระบองไว้บนมือ วิธีทำคือ ยืนบนขอนไม้หรือบนพื้นราบ เอาไม้กระบองตั้งไว้บนฝ่ามือ ย่อเข่าลง ตามองที่กระบอง ปล่อยมือที่ประคองกระบอง แล้วเลี้ยงกระบองให้ตั้งอยู่บนมือ ขณะเดียวกันก็ซอยเท้าอยู่กับที่ แล้วออกเดินไปบนขอนไม้ เดินหน้า ถอยหล้ง แล้วเดินไขว้ขาไปข้างแบบ grape vine โดยไม่ให้กระบองหล่นจากฝ่ามือ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

………………………………………………………….

จดหมายจากท่านผู้อ่าน

     ดิฉันเป็นคนสูงวัย(มาก)คนหนึ่ง อายุ 72 แถมไม่มีบุตร มีสามีป่วยด้วยทั้งผ่าหัวใจ อายุ 73 ส่วนตัวเองเป็นความดัน เบาหวาน ส่วนสามี สารพัดโรค ผ่าหลอดเลือดหัวใจ.ผ่าสมองเพราะอุบัติเหตุ เลยทำให้ผลกระทบความจำเสียไป การเคลื่อนไหวผิดไป ก้มคอ งอหลัง ก้าวติดๆข้างหนึ่ง ล้มเพราะขาไม่พร้อมใจเดินไปด้วยกัน ภาพหลอน เห็นอะไรต่ออะไร ลมชักเมื่อเห็นอะไรเร็วๆก็ชัก รถติดก็ชัก หนังทีวีต้องเอาวิวง่ายๆ หากเป็นหนังแอ็คชั่นก็ชัก หนาวไปชัก..ต่อมลูกหมากโต ความดันโลหิตสูง เก๊าท์.ประมาณนี้ค่ะ

     …ดิฉันจึงจำต้องทำหน้าที่ทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นพ่อบ้านเอง ซ่อม สร้าง ปรับปรุง แก้ไข ทุกอย่าง
เป็นตั้งแต่พยาบาลเองจนถึงนักกายภาพ คนขับรถ ยามฉุกเฉิน รวมทั้งนักโภชนาการ นักปลุกระดมกำลังใจ นักปฏิบัติให้เห็นทางแห่งธรรม. สิ่งเดียวที่ดิฉันยึดเป็นหลักแรก คือ การรู้จักตน ดิฉันทราบว่า ไม่มีสิทธิป่วย อย่างน้อยก็รู้ว่า จะไม่มีใครประคองเรา เราเหลือแค่ สองมือ สองเท้า หนึ่งหัวและหนึ่งจิตใจ มีแค่นี้จริงๆ ดิฉันไม่กลัวชีวิต เพราะคิดว่า มันเป็นหนทางปกติ ใช้ปลุกระดมตัวเองไม่ให้จิตตกเป็นอันดับแรก เพราะหากจิตตกเมื่อไร มันเซซ้ำและใจรวนหดหู่ อันนี้สำคัญสำหรับดิฉันค่ะ จึงใช้การป้องกันจิตตกด้วย ไม่คิดวันหน้า ไม่คิดสิ่งที่ผ่าน อยู่กับปัจจุบันด้วย Now and Now พอตั้งมั่นแบบนี้ ไม่เศร้า ไม่อ่อนแอ ระทดระทวยเลย สู้แต่ละนาที แต่ละวิกฤติ อย่างหนุกหนานและท้าในใจว่า…เรียมเอ๊ย..ครานี้ คือ excercise ของจริงละหว้า จะแพ้ ชนะให้รู้ไป

     ..สรุปนะคะ เดินทางกับชีวิตยามยาก วิกฤติ ด้วยพลังทั้งหมดที่มี ในที่สุด พบว่า สิ่งที่ได้คือ ความแข็งแกร่ง อย่างชนิดคิดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ เวลาผ่านมา 3 ปีเศษแล้ว เหตุการณ์ทำให้กระตุ้นแและเรียนรู้ถึงทางแห่งพุทธธรรม นี่คือชีวิตของสรรพสิ่ง นี่คือ วัฏสงสาร นี่คือ ไตรลักษณ์ นี่คือหนทางแห่งชีวิต

     ดิฉันสอนสามีให้รู้จักการดูกาย ดูใจ.มองให้เห็นว่าชีวิตนั้นมันงดงาม ขาข้างซ้ายไม่เดิน มองลงไปให้เห็นว่า กล้ามเนื้อทุกมัด เอ็นทุกเส้น กระดูกทุกส่วน มันเห็นยังไง รู้สึกอย่างไร..ไม่มีแรงเหรอ..งั้นมาเล่นงัดขางัดข้อกัน..หนุกหนาน ลุกจากเตียงไม่ได้ ทำไมจึงลุกไม่ได้ สมองไม่สั่งเหรอ..งั้นเรียมสั่งเอง..ว่าแล้วก็พูดเสียงสั่งเสียงดัง เข้ม หนัก เขาค่อยๆขยับ..ลองไปเรื่อยๆ วันนี้ เขาเดินได้เอง ความจำกลับมาดูแล้ว 99.99%  คิดแบบตรรกะ คิดแบบปรัชญา ทำได้ดีมากๆค่ะ ไม่ชัก ไม่ประสาทหลอน ออกกำลังสม่ำเสมอ ทำ Cadiac Rehab ผลวิเศษมากเลยค่ะ เดินส่ายพาน ขี่จักรยาน ทำ PT..OT สมบูรณ์ หน้าตามีเลือดฝาด ใจสงบเยือกเย็น สมาธิ ภาวนา เผื่อแผ่ เมตตา ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

     ..เล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นกำลังใจค่ะ เพราะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ..มีทุกข์ วันหนึ่งก็ทุกข์ทุเลาเบาบางได้ค่ะ อยู่ now and now รักษาดวงจิตไว้ค่ะ นี่คือบันไดขั้นแรก

     ..จริงๆแล้ว ทุกคนมีชีวิตที่สวยงาม งดงามตามสไตล์ของตน ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตในทุกข์ หรือ ไม่ว่าจะโชคดีพบสุขสมใจปรารถนา มันคือครรลองของชีวิตที่ดำเนินไปตามเหตุที่มี เหตุผลักดันให้การเดินทางของชีวิตลดเลี้ยว เหมือนการเดินทาง หากเรานั่งรถไป เพื่อจุดหมายใดสักที่หนึ่ง เข่น สวนสวยงาม ชายทะเล…อะไรก็ได้ที่คิดว่า น่าจะมีสุข ระหว่างทางเรานั่งหลับๆตื่นๆ เมื่อยบ้าง หิวบ้าง ไปเรื่อยๆ อย่างนี้เรียกว่าไม่สุข เรายอมไม่สุข เพื่อกำลังจะเดินทางไปพบสุขที่เป็นเป้าหมาย

     …แต่การเดินทางชีวิต มันยาวนาน เราควรดูดซับสิ่งที่เรียกว่า ความพอใจ ความสุข ความเบิกบาน..ได้ตลอดการเดินทาง เพราะเป้าหมายสุดท้ายคือ ..ไม่มีอะไรเลยจริงๆ เห็นแล้ว มองทุกอย่างที่เราพบผ่าน อย่างเบิกบานและยินดี มันอยู่ที่เรามองจริงๆ ฝึกทางแห่งพุทธะ ในที่สุด จะเห็นจริงๆในมิติที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า ชีวิตมันสวยงามทุกยาม.

……………………………………..

ตอบครับ (ครั้งที่2)

จดหมายของคุณพี่เกินคำบรรยายใดๆ คุณพี่อายุ 72 ตัวคนเดียวแถมสามีป่วยห้อยแข้งห้อยขา แต่วิธีที่คุณพี่ใช้ชีวิตนั้นจะเป็นตำนานสอนผู้อ่านบล็อกหมอสันต์ไปอีกนานเท่านาน ผมขอขอบคุณคุณพี่แทนผู้อ่านแฟนๆบล็อกทุกคนด้วยครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์