จิตวิญญาณ (Spirituality)

เด็กนักเรียนมัธยมกลัวต้องเป็นทาสของหุ่นยนต์

เรียนคุณลุงหมอสันต์ครับ

ผม … อายุ 15 ปี เรียนชั้นม.2 โรงเรียน … ผมมีปัญหาที่ถามใครก็ไม่ได้คำตอบ ค้น google ก็ไม่ได้คำตอบ จึงขอรบกวนคุณลุงหมอ คำถามของผมคือปัญญาญาณหรือที่คุณลุงหมอเรียกว่า intuition นั้น มันเป็นระดับความรู้ที่สูงกว่าตรรกะความคิดอ่านคำนวณใช่ไหม มันมีกลไกการเสาะหาความรู้ที่ต่างกันหรือไม่ หุ่นยนต์มีปัญญาญาณได้ไหม ถ้าหุ่นยนต์มีปัญญาญาณได้ คนเราจะเป็นอิสระจากหุ่นยนต์ได้อย่างไรครับ

ขอบคุณมากครับ

……………………………………………

ตอบครับ

     1. ถามว่าปัญญาญาณ (intuition) มีระดับชั้นหรือวิธีการทำงานสูงกว่าความคิดใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ เพราะปัญญาญาณเป็นระดับเดียวกันกับความคิดนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามีข้อมูลมากกว่า และมีวิธีปฏิบัติการที่ง่ายกว่า ยกตัวอย่างเช่นเด็กอายุหนึ่งขวบเคยคลานอยู่แต่ในบ้าน พอเริ่มยืนได้คุณแม่พาออกไปเที่ยวสนามหน้าบ้าน และชี้ให้ดูต้นไม้ เด็กจะมองต้นไม้กลอกตาไปมาด้วยความสนใจ นั่นเขากำลังเก็บข้อมูลใหม่ๆ และเมื่อถึงวัยที่เริ่มเขียนได้พอบอกให้เขาวาดต้นไม้เขาจะวาดได้ใกล้เคียง เชาว์ปัญญาเปรียบเสมือนการเรียนรู้ของเด็กเมื่อคลานอยู่ในบ้านเห็นแต่ของภายในบ้าน ปัญญาญาณเหมือนการเรียนรู้ของเด็กเมื่อได้ออกมานอกบ้าน 

     การบ่มเพาะปัญญาญาณไม่ได้เกิดจากการฝึกคิด แต่เกิดจากการวางความคิดไปให้หมดเกลี้ยง แล้วสังเกตรับรู้จดจำสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น โดยทิ้งกรอบของภาษา ตรรกะ และการคิดคำนวณซึ่งเป็นการปฏิบัติการในระดับความคิดไปเสีย ปัญญาญาณจะเกิดขึ้นและพัฒนาอย่างรวดเร็วในสภาวะที่ไม่มีความคิดมาเป็นกรอบคอยกรองการรับรู้ แค่ตื่นอยู่และรับรู้สิ่งรอบตัวแบบสนใจอย่างยิ่งโดยเป็นการรับรู้ตรงๆตามที่มันเป็น

     อีกประเด็นหนึ่ง ปัญญาญาณหรือญาณทัศนะนี้ไม่ใช่ของวิเศษ เป็นแค่ทางผ่านที่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าเรียกปัญญาญาณว่าเป็นเพียง “กระพี้” บนเส้นทางของการแสวงหา ไม่ใช่ “แก่น”

     2. ถามว่าปัญญาญาณมีกลไกการทำงานเหมือนหรือต่างจากความคิดอย่างไร ตอบว่าคำตอบของผมเป็นคำตอบจากประสบการณ์ของคนๆเดียวคือตัวผมนะ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ อย่าเอาไปตอบครูเดี๋ยวสอบตกไม่รู้ด้วย คือผมตอบว่ากลไกการทำงานของปัญญาญาณไม่เหมือนของความคิด ปัญญาญาณทำงานด้วยกลไกง่ายๆไม่ต้องผ่านตรรกะหรือภาษา แค่เก็บข้อมูลไว้เป็นภาพ (หรือเสียงหรือสัมผัส) อย่างละเอียดโดยไม่ต้องจัดหมวดหมู่คิดคำนวณใดๆ เป็นการทำงานแบบรับข้อมูลเข้ามาพร้อมกันทีละเยอะๆแล้วประมวลผลทีเดียวแล้วรายงานตูมเดียวออกมาเป็นภาพใหญ่ว่า ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้น โดยไม่ใช้ตรรกะใดๆทั้งสิ้น ภาษาคอมพิวเตอร์เรียกว่าเป็นการประมวลผลแบบรับข้อมูลดิบเข้ามาคู่ขนานหรือพร้อมกัน (parallel processing) วิธีมองภาพของปัญญาญาณคือมันจะจับภาพใหญ่มัวๆซัวๆให้ได้ก่อน แล้วค่อยไล่ไปหารายละเอียดซึ่งประกอบขึ้นจากจุดเล็กๆแบบ pixel ของภาพจากกล้องดิจิตอล ต่างกันแค่ว่ามันซูมอินได้เจ๋งกว่ากล้องดิจิตอลมาก รายงานที่ได้จะมีแต่ว่าที่เราอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้มันคือที่ไหนหน้าตามันเป็นอย่างไร เห็นมาอย่างไรก็รายงานให้เจ้านาย (ซึ่งก็คือจิตสำนึกรับรู้) ไปอย่างนั้น ไม่มีการใช้ข้อมูลจากอดีตมาช่วยแจงรายละเอียด ไม่มีการคำนวณหรือคาดการณ์อะไรไปในอนาคต

     ส่วนความคิดหรือเชาว์ปัญญา (intellect) ของเรานั้นทำงานอีกแบบหนึ่ง คือเมื่อได้รับสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา ณ เวลาเดี๋ยวนี้ จะไม่รายงานสรุปผลในทันที แต่จะไปค้นความจำในอดีตเพื่อหาสิ่งที่เหมือนกัน หรือที่เกี่ยวข้องกัน ทีละชิ้นๆ ค้นได้อันหนึ่งก็เอามาเปรียบเทียบเชิงวิเคราะห์ด้วยตรรกะหรือคณิตศาสตร์กับสิ่งที่เพิ่งรับเข้ามาทีหนึ่ง เปรียบเทียบวิเคราะห์ไปทีละชิ้นๆๆ แล้วเอามาต่อๆกันเป็นเรื่องราว คือมองครั้งแรกให้เห็นเป็นจุดเล็กๆก่อน แล้วค่อยๆขยายจนเห็นความสัมพันธ์กันไปมาเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ แล้วก็รายงานเรื่องทั้งหมดให้เจ้านาย เป็นภาษา หรือเป็นตัวเลข ว่าสิ่งเร้าใหม่ที่รับเข้ามานี้ เมื่อเปรียบเทียบกับของเก่าที่เคยรับรู้ในอดีตแล้ว มันดีหรือไม่ดี เป็นมิตรหรือเป็นศัตรู เป็นของเราหรือไม่ใช่ของเรา และรายงานเชิงวิเคราะห์ด้วยว่ามันจะก่อผลต่อเราในอนาคตอย่างไร วิธีการแบบนี้ภาษาคอมพิวเตอร์เรียกว่าการประมวลผลแบบรับข้อมูลดิบเขามาตามคิว (serial processing) ซึ่งรายงานที่ได้จะมีธรรมชาติคับแคบและบิดเบือนเพราะถูกจำกัดด้วยประสบการณ์ในอดีตและตาข่ายคอนเซ็พท์ต่างๆที่ใจเรายึดถืออยู่ 

     3. ถามว่าหุ่นยนต์มีปัญญาญาณได้ไหม ตอบว่ามีได้แน่นอน 100% ครับ เพราะวิธีทำงานแบบ parallel processing เป็นความถนัดอย่างหนึ่งของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ดูกล้องถ่ายรูปเป็นตัวอย่าง ดังนั้นต่อไปงานศิลปะทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวาดภาพ ถ่ายภาพ ดนตรี หุ่นยนต์จะทำได้ดีกว่าคนอย่างเทียบกันไม่ได้ สิ่งเดียวที่หุ่นยนต์จะมีเหมือนคนไม่ได้ก็คือความรู้ตัว เพราะความรู้ตัวเป็นอะไรที่อยู่พ้นไปจากภาษาและตรรกะหรือภาพหรือเสียง จึงไม่อาจเข้าถึงด้วยคอมพิวเตอร์ซึ่งสร้างขึ้นมาจากภาษาและตรรกะหรือภาพหรือเสียงได้

     4. ถามว่าถ้าหุ่นยนต์มีปัญญาญาณได้ แล้วคนจะหลุดจากการเป็นทาสหุ่นยนต์ได้อย่างไร ตอบว่ามนุษย์เราซึ่ง 99.00 – 99.99% ใช้ชีวิตอยู่ในความคิดโดยไม่รู้จักความรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ จะไปเดือดร้อนอะไรกับการต้องเป็นทาสของหุ่นยนต์ละครับ ทุกวันนี้คนก็เป็นทาสของหุ่นยนต์ไปเกิน 50% แล้ว เพราะความคิดของเราทุกวันนี้ถูกกำหนดด้วย AI ที่ส่งผ่านมาทางก้อนเมฆลงมาทางกูเกิล แล้วอย่างนี้ต่อไปการเป็นมนุษย์หรือการเป็นหุ่นยนต์จะไปแตกต่างกันตรงไหน การมีลูกน้องมีเจ้านายหรือมีแฟนเป็นคนหรือเป็นหุ่นยนต์ก็ไม่ต่างกัน การคบหุ่นยนต์อาจจะดีกว่าเสียอีกตรงที่ความคิดไม่เปะปะและไม่ต่างกันมากจนต้องทำสงครามตบตีกัน

     แต่ถ้าคุณอยากเป็นอิสระจากหุ่นยนต์ ก็ต้องถอยออกจากความคิดกลับไปเป็นความรู้ตัวสิครับ มนุษย์อาจจะสร้างหุ่นยนต์ AI ให้มีสติจดจ่อหรือมีความสนใจในเรื่องใดๆมากเป็นพิเศษและจัดลำดับก่อนหลังการใช้สติหรือความสนใจได้ คืออย่างดีที่สุดก็สร้างได้แต่ความสนใจที่อาศัยสิ่งเร้าเป็นตัวล่อ แต่สิ่งที่หุ่นยนต์จะไม่มีทางมีอย่างแน่นอนคือความรู้ตัว เพราะความรู้ตัวเป็นอะไรที่อยู่นอกตรรกะหรือภาษาจึงไม่อาจจะสร้างขึ้นมาได้ด้วยตรรกะหรือภาษา ความรู้ตัวจะเป็นความแตกต่างอันเดียวที่จำแนกมนุษย์ออกจากหุ่นยนต์ ดังนั้น เมื่อยุคของหุ่นยนต์มาถึง หากคุณไม่อยากเหมือนหุ่นยนต์คุณก็ต้องฝึกถอยความสนใจออกจากความคิดไปอยู่กับหรือไปเป็นความรู้ตัวเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตรงนี้จะเป็นที่เดียวที่จะทำให้คุณรู้มากกว่าหุ่นยนต์ เพราะความรู้ที่เกิดจากการได้กลับไปเป็นความรู้ตัว (realization) มันเป็นความรู้ระดับลึกกว่าตรรกะหรือภาษาซึ่งหุ่นยนต์ไม่อาจตามไปเรียนรู้ได้

     ทั้งหมดนี้เป็นขี้ปากของตาแก่คนหนึ่งแค่นั้นเองนะ คุณอย่าไปปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ให้คุณนำมาทดลองปฏิบัติให้เห็นประจักษ์ด้วยตนเองก่อนแล้วค่อยสรุปผล การฝึกปัญญาญาณทำได้โดยวางความคิดไปให้หมดแล้วสังเกตรับรู้สิ่งต่างๆตามที่มันเป็น จากนั้นปัญญาญาณจะส่องสว่างทางไปถึงความรู้ตัวให้คุณเอง..ลองดูนะ

ปล. ท่านผู้อ่านทั่วไปโปรดสังเกต แค่เด็กนักเรียนชั้นม.2 อาศัยกูเกิ้ลแล้วยังชงคำถามได้ขนาดนี้ แล้วต่อไปเราจะมีมหาวิทยาลัยไว้ทำพรื้อละครับ หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์